7 หุ้นโรงพยาบาล ตัวไหนดีในปี 2568

การลงทุนในหุ้นโรงพยาบาลถือเป็นการลงทุนในหุ้นกลุ่มเชิงรับ (Defensive Stock) เนื่องจากธุรกิจโรง พยาบาลมีความสำคัญต่อสังคมและเศรษฐกิจทุกประเทศ การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่ขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจ ดังนั้น หุ้นกลุ่มนี้มักมีรายได้สม่ำเสมอและสามารถเติบโตได้แม้ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี
7 อันดับหุ้นโรงพยาบาลที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในปี 2568
ในปี 2568 หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลในประเทศไทยได้แสดงผลตอบแทนได้อย่างประทับใจ แม้ในสภาวะตลาดที่ผันผวน การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ถือเป็นทางเลือกที่มั่นคง เนื่องจากธุรกิจโรงพยาบาลมีความสำคัญต่อสังคมและมีความต้องการที่ต่อเนื่อง ด้านล่างนี้คือ 7 อันดับหุ้นโรงพยาบาลที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในปี 2568 จะมีหุ้นตัวไหนบ้างนั้นไปดูกันเลย
ตารางเปรียบเทียบ 7 อันดับหุ้นโรงพยาบาลที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในปี 2568
ชื่อโรงพยาบาล | ชื่อหุ้น | Market Cap (ลบ.) | ราคาหุ้น (บาท/หุ้น) | P/E (เท่า) | ROE (%) |
1.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ | BH* | 139,110.29 | 183 | 18.34 | 31.91 |
2. บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) | BDMS* | 355,980.84 | 23.30 | 22.81 | 16.77 |
3. บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) | BCH* | 34,164.35 | 14.40 | 23.13 | 11.88 |
4. โรงพยาบาลจุฬารัตน์ | CHG* | 23,320.00 | 2.24 | 20.32 | 15.42 |
5. บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) | PR9* | 16,984.08 | 21.30 | 24.47 | 13.57 |
6. บริษัท โรงพยาบาลวิภาวดี จำกัด (มหาชน) | VIBHA* | 24,572.58 | 1.88 | 23.85 | 8.49 |
7. โรงพยาบาลธนบุรี | THG* | 10,678.09 | 13.50 | - | -6.91 |
1. หุ้น BH บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน)
บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของประเทศไทย ดำเนินกิจการเกี่ยวกับโรงพยาบาลตั้งแต่ปี 2527 และมีการปรับโครงสร้างบริษัทในปี 2537 เป็นหนึ่งผู้ให้บริการรายใหญ่ที่สุดแก่ผู้ประกันตนในโครงการประกันสังคม
BH มีแผนปรับราคาค่าบริการสำหรับโรคที่มีความซับซ้อน และขยายพื้นที่ให้บริการเพื่อรองรับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยชาวต่างชาติ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ และความต้องการบริการทางการแพทย์คุณภาพสูง
🔸 Market Cap มูลค่าตลาด ก.พ. 2568 (ล้านบาท) : 139,110.29
🔸 กำไร (ล้านบาท) : 5,871.77
🔸 ราคาปัจจุบัน (บาท) : 183.00
🔸 สัดส่วนรายได้: รายได้ผู้ป่วยทั่วไปคิดเป็น 66.52% และสัดส่วนรายได้ผู้ป่วยโครงการประกันสังคม 32.63% และสัดส่วนรายได้อื่น 0.85%
🔸 ROE 31.91%
🔸 P/E (เท่า) 18.34
🔸 เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ:บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน)
2 .หุ้น BDMS หรือ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)
เป็นบริษัทที่มีโรงพยาบาลในเครือ ได้แก่ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และ โรงพยาบาลอูลานบาตอร์ซองโด (ประเทศมองโกเลีย) นอกจากนี้ ยังมีศูนย์การแพทย์อยู่ที่ประเทศพม่าเป็นจำนวนมาก ก่อตั้งขึ้น พ.ศ. 2518 ปัจจุบันสามารถรองรับผู้ป่วยนอกได้มากกว่า 5,500 คนต่อวัน และเป็นผู้นำทางการแพทย์ฝนระดับภูมิภาคที่ให้บริการอย่างครบวงจร
นอกจากนี้ BDMS ยังมีแผนขยายฐานลูกค้าต่างประเทศและเพิ่มจำนวนเตียง รวมถึงการสร้างโรงพยาบาลใหม่และขยายศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะกลางและยาว
🔸 Market Cap มูลค่าตลาด ก.พ. 2568 (ล้านบาท) : 355,980.84
🔸 กำไร (ล้านบาท) : 11,654.41
🔸 ราคาปัจจุบัน (บาท) : 23.30
🔸 สัดส่วนรายได้: รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยชาวไทยคิดเป็นสัดส่วน 33.0% จากทั้งหมด ขณะที่รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยต่างประเทศคิดเป็น 67.00%
🔸 ROE 16.77%
🔸 P/E (เท่า) 22.81
🔸 เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ: กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน)
3. หุ้น BCH หรือ บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน)
เป็นโรงพยาบาลเอกชนแนวหน้าของประเทศที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูงสุดในอุตสาหกรรม HELTH ก่อตั้งในปี 2512 มีโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด 15 แห่ง และโพลีคลินิก 2 แห่ง ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด และสปป.ลาว ให้บริการทางการแพทย์ในระดับปฐมภูมิถึงตติยภูมิ ภายใต้ 4 กลุ่มโรงพยาบาล ได้แก่ เวิลด์เมดิคอล, เกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล, เกษมราษฎร์ และการุญเวช
บล.กรุงศรีได้ปรับเพิ่มคำแนะนำหุ้น BCH เป็น "ซื้อ" จากเดิม "ถือ" โดยคาดว่ากำไรสุทธิปี 2568 จะเติบโต 23% เมื่อเทียบกับปีก่อน
🔸 Market Cap มูลค่าตลาด ก.พ. 2568 (ล้านบาท) : 34,164.35
🔸 กำไร (ล้านบาท) : 1,049.33
🔸 ราคาปัจจุบัน (บาท) : 14.40
🔸 สัดส่วนรายได้: คนไข้ในประเทศเพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ที่ 71% และ คนไข้ต่างชาติ 29% รายได้จากการจำหน่ายสินค้าและอาหารเพิ่มขึ้น 12% และรายได้จากอื่นๆ 14%
🔸 ROE : 11.88%
🔸 P/E (เท่า) : 23.13
🔸 เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ:บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน)
4. หุ้น CHG บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน)
บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) ประกอบกิจการโรงพยาบาลเอกชน เริ่มก่อตั้งในปี 2529 จนถึงปัจจุบัน มีทุนจดทะเบียนรวม 1,100 ล้านบาท ประกอบด้วยบริษัทย่อยจำนวน 12 บริษัท มีสาขาของโรงพยาบาลสถานพยาบาลและคลินิกในกลุ่มรวมทั้งหมด 15 แห่ง
CHG มีแผนขยายสาขาและเพิ่มจำนวนเตียงรองรับผู้ป่วย เพื่อรองรับความต้องการบริการทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ
🔸 Market Cap มูลค่าตลาด ก.พ. 2568 (ล้านบาท) : 23,320.00
🔸 กำไร (ล้านบาท) : 873.63
🔸 ราคาปัจจุบัน (บาท) : 2.24
🔸 สัดส่วนรายได้: กลุ่มผู้ป่วยนอก (OPD) คิอเป็น 30.6% กลุ่มผู้ป่วยใน (IPD) คิดเป็น 34.5% และรายได้จากโครงการสวัสดิการภาครัญคิดเป็น 35%
🔸 ROE 15.42%
🔸 P/E (เท่า) 20.32
🔸 หลักประกัน SSF (บาท) : 245 บาท
🔸 หลักประกัน Block Trade (บาท) : 122,500 บาท
🔸 เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ:บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน)
5. หุ้น PR9 บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน)
เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลที่มุ่งสู้การเป็นศูนย์รวมดูแลสุขภาพที่ทันสมัยและได้รับความไว้วางใจมากที่สุด โดยก่อตั้งขึ้นในปี 2532 เน้นให้บริการแก่กลุ่มผู้รับบริการทั่วไปในประเทศไทยเป็นหลัก แต่ก็ยังครอบคลุมไปยังผู้รับบริการจากต่างประเทศอีกด้วย เช่น ประเทศจีน พม่า ลาว และกัมพูชา โดยมีนโยบายพัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ในระดับภูมิภาพ (Medical Hub)
PR9 ได้ลงทุนในเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัย รวมถึงการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น 9 CARE platform และ 9 CARE Shop เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ป่วย นอกจากนี้ PR9 มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์และโรงเรียนแพทย์ในประเทศไทย ทำให้สามารถหาบุคลากรที่มีความสามารถได้ต่อเนื่อง
🔸 Market Cap มูลค่าตลาด ก.พ. 2568 (ล้านบาท) : 16,984.08
🔸 กำไร (ล้านบาท) : 506.11
🔸 ราคาปัจจุบัน (บาท) : 21.30
🔸 สัดส่วนรายได้: มีรายได้จากผู้ป่วยนอก 59% รายได้จากผู้ป่วยใน 41% โดยเป็นกลุ่มลูกค้าประกันสุขภาพ 25% ชำระเงินเอง 68% และบริษัทคู่สัญญา 7%
🔸 ROE 13.57%
🔸 P/E (เท่า) 24.47
🔸 เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ:บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน)
6. หุ้น VIBHA บริษัท โรงพยาบาลวิภาวดี จำกัด (มหาชน)
เป็นกลุ่มบริษัทประกอบกิจการสถานพยาบาลประเภทที่รับผู้ป่วยไว้ค้างคืน ในลักษณะโรงพยาบาลทั่วไป (General Hospital) ก่อตั้งเมื่อปี 2519 มีพันธกิจเพื่อช่วยให้คนไทยเข้าถึงการรักษา ดูแลสุขภาพอย่างทั่วถึงในทุกมิติ
ในปี 2568 นี้ บริษัทคาดว่าผลประกอบการจะเติบโตอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับปี 2567 เนื่องจากการเพิ่มจำนวนเตียงผู้ป่วยและการขยายธุรกิจใหม่ ๆ ที่จะช่วยเสริมสร้างรายได้ นักวิเคราะห์จากหยวนต้าได้แนะนำ "ซื้อ" หุ้น VIBHA โดยตั้งราคาเป้าหมายที่ 2.74 บาท มองว่าแนวโน้มปี 2568 สดใส จากการคลายกังวลเรื่องประกันสังคมและการขยายธุรกิจใหม่ๆ
🔸 Market Cap มูลค่าตลาด ก.พ. 2568 (ล้านบาท) : 24,572.58
🔸 กำไร (ล้านบาท) : 778.31
🔸 ราคาปัจจุบัน (บาท) : 1.88
🔸 สัดส่วนรายได้: มีรายได้จากผู้ป่วยนอก 45% รายได้จากผู้ป่วยใน 55% คิดเป็นพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด และต่างประเทศ 824 เตียง, 698 เตียง และ 200 เตียง ตามลำดับ
🔸 ROE 8.49%
🔸 P/E (เท่า) 23.85
🔸 เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ:บริษัท โรงพยาบาลวิภาวดี จำกัด (มหาชน)
7. หุ้น THG บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
ถือเป็นหุ้นโรงพยาบาลอีกหนึ่งบริษัทที่มีขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นไทย จากวิสัยทัศน์ที่ต้องการเป็นโรงพยาบาลตติยภูมิที่ขับเคลื่อนด้วยคุณภาพ ทั้งด้านการรักษาพยาบาลและการบริการ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2529 ได้รับรางวัลจาก CGR ในระดับ 5 ดาว พร้อมการประเมินคุณภาพการจัดประชุมสามัญประจำปี 2566 ในระดับดีเยี่ยม
หุ้น THG ในปี 2568 มีการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ โดยมีการปรับตัวขึ้นหลังจากชี้แจงข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหาร อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายคาดว่าราคาหุ้นอาจปรับตัวลดลงจากระดับปัจจุบัน นักลงทุนควรพิจารณาข้อมูลและวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบคอบก่อนการตัดสินใจลงทุน
🔸 Market Cap มูลค่าตลาด ก.พ. 2568 (ล้านบาท) : 10,678.09
🔸 กำไร (ล้านบาท) : -302.98
🔸 ราคาปัจจุบัน (บาท) : 13.50
🔸 สัดส่วนรายได้: ค่ารักษาพยาบาล 93.95% ค่าเช่าและบริการ 0.85% ค่าปันผลรับ 0.01% และรายได้อื่นๆ 1.02%
🔸 ROE : -6.91%
🔸 P/E (เท่า) : -
🔸 เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ:บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
วิธีเลือกซื้อหุ้นโรงพยาบาล
การเลือกซื้อหุ้นโรงพยาบาลเป็นการลงทุนที่ต้องทำอย่างรอบคอบและอย่างมีความระมัดระวัง เนื่องจากนี่เป็นบางข้อแนะนำเพื่อสมควรในการตัดสินใจเลือกซื้อหุ้นโรงพยาบาล:
👉 ศึกษาโรงพยาบาล: ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับโรงพยาบาลที่คุณสนใจ เราค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพของบริการทางการแพทย์, ค่าใช้จ่าย, รายได้, และนโยบายสาธารณสุขที่มีผลต่อโรงพยาบาล
👉 วิเคราะห์ความสามารถการเงิน: ตรวจสอบการเงินของโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายและรายได้ การดำเนินการแพทย์ที่ใช้ค่าใช้จ่าย และรายงานการเงินอื่น ๆ ของโรงพยาบาล
👉 วิเคราะห์โครงสร้างองค์กร: ทราบถึงโครงสร้างและการบริหารจัดการของโรงพยาบาล เข้าใจถึงการบริหารจัดการและการวางแผนทางธุรกิจของโรงพยาบาล
👉 ระดมข้อมูลเกี่ยวกับราคาหุ้น: ระดมข้อมูลเกี่ยวกับราคาหุ้นของโรงพยาบาล ควรตรวจสอบการแสดงผลราคาหุ้นในอดีตและแนวโน้มล่าสุด รวมถึงข่าวสารทางการเงินและการลงทุนที่มีผลต่อราคาหุ้น
👉 รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ: หากคุณไม่มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์หุ้น ควรพิจารณาการรับคำแนะนำจากนักวิเคราะห์หุ้นที่มีประสบการณ์และมีความรู้ในวงการดูแลสุขภาพ
นักลงทุนหลายคนจะเริ่มลงทุนหุ้นกลุ่มนี้อาจสับสน ว่าจะเลือกลงทุนในหุ้นของโรงพยาบาลไหนดี เพราะมีมากมายหลายตัวแถม แต่ละตัวก็ชื่อเสียงโรงพยาบาลหรือไปใช้บริการมาน่าลงทุนทั้งนั้น เรามาติดตามกันให้ชัดเจนขึ้นสำหรับการเลือกหุ้นในกลุ่มนี้
1) ประเภทของหุ้นโรงพยาบาล
ดูทีผู้ที่มารับการรักษาหรือคนไข้ เป็นหลัก เช่น โรงพยาบาลที่โฟกัสไปยังกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ เช่น BH BDMS BCH และประเภทที่สอง คือ โรงพยาบาลที่เน้นลูกค้าในประเทศ หุ้นอย่างเช่น VIBHA CHG PR9 THG นั่นเอง เพราะว่าโรงพยาบาลแต่ละแห่งก็มีนโยบายจับลูกค้าที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจรายได้ที่มาจากลูกค้ากลุ่มไหน หรือแม้แต่จุดเด่นของโรงพยาบาลนั้น จะทำให้เราสามารถจับจุดวิเคราะห์ได้ถูก เพราะหากเป็น รพ. ที่เน้นต่างชาติเป็นหลัก จำเป็นต้องติดตามสภาวะเศรษฐกิจของประเทศนั้นเช่นกัน เช่น หุ้นโรงพยาบาล ที่จับลูกค้ากลุ่มยุโรป พอประเทศในกลุ่มมีปัญหาเศรษฐกิจหรือซบเซา ทำให้การบินมาก็มาใช้บริการน้อยลงนั่นเองครับ หรือถ้าเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงจากประเทศอาหรับ มีการจัดแพคเกจเพื่อดึงดึงลูกค้าในกลุ่มนี้เป็นต้น
2) ฝึกดูอัตราส่วนตัวเลขทางการเงิน
การศึกษาอัตราส่วนตัวเลขทางการเงินเช่น PE (Price-to-Earnings) และ ROE (Return on Equity) มีความสำคัญเนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในหุ้นหรือบริษัท เรามาดูความสำคัญของแต่ละตัวดังนี้
⭐ PE เป็นอัตราส่วนที่นิยมใช้ในการประเมินความคุ้มค่าของหุ้นหรือบริษัท โดยเปรียบเทียบราคาหุ้นกับกำไรต่อหุ้น (Earnings per Share - EPS) ของบริษัท หรือ PE = ราคาหุ้น / EPS. โดยที่ค่า PE ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจว่ากำไรที่บริษัททำได้ต่อราคาหุ้นเป็นเท่าไร นอกจากนี้ยังช่วยในการเปรียบเทียบความคุ้มค่าของหุ้นในอุตสาหกรรมและระหว่างบริษัท
⭐ ROE คืออัตราส่วนที่บ่งบอกถึงกำไรที่บริษัททำได้ต่อส่วนของเงินทุนของผู้ถือหุ้น (Equity) ซึ่งเป็นส่วนทุนที่คนลงทุนเข้ามาในบริษัท. ROE ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจว่าบริษัทใช้เงินทุนของผู้ถือหุ้นอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ถ้า ROE สูงแสดงว่าบริษัทสามารถทำกำไรมากต่อส่วนของเงินทุนที่ถือหุ้น นี่อาจช่วยในการประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในบริษัท
การศึกษา PE และ ROE จะช่วยในการตัดสินใจในการลงทุนในหุ้นหรือบริษัท โดยที่สูง PE และ ROE สูงสามารถหมายความว่าการลงทุนนั้นมีความเสี่ยงและต้องชำระราคาสูง แต่มีโอกาสทำกำไรมาก ส่วน PE ต่ำและ ROE ต่ำอาจชี้ว่าการลงทุนนั้นมีความเสี่ยงน้อยแต่กำไรน้อย คำสำคัญคือต้องพิจารณาและเปรียบเทียบอัตราส่วนนี้ร่วมกับข้อมูลอื่น ๆ เพื่อตัดสินใจการลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายการเงินของคุณและระดับความเสี่ยงที่คุณพร้อมยอมรับ
3) กลยุทธ์ที่ใช้ทำธุรกิจและการเติบโต
ดูว่าธุรกิจของโรงพยาบาลนั้นๆสามารถเติบโตต่อไปในอนาคตโดยอาศัยกลยุทธแบบใด เพราะหมายถึงราคาหุ้นและเงินปันผลที่คาดหวังในทิศทางของโรงพยาบาล เช่น
⭐ กลยุทธ์การเติบโต ด้วยการควบรวมกิจการ อยากโตไวทั้งรายได้และกำไร ก็ใช้ทางลัดกันไปเลย โดยวิธีการซื้อโรงพยาบาลอื่น แล้วนำมารีโนเวทใหม่ ตกแต่งให้เป็นธีมเดียวกัน สวมแบรนด์ของเขาเข้าไป
⭐ กลยุทธ์ขยายสาขาโรงพยาบาลใหม่ในพื้นที่กลยุทธ์ เหมาะสำหรับโรงพยาบาลที่มีเชนสาขาของตัวเอง อาจจะไปเปิดสาขาเพิ่มในจุดยุทธศาสตร์ทีดี เป็นพื้นที่ต้องการโรงพยาบาลที่เหมาะกับรายได้และจำนวนความหนานแน่นของประชากร ใครที่ถือหุ้นโรงพยาบาลที่ขยายตัวจากการสร้างตึกใหม่ ก็ต้องรอกันหน่อย เพราะหลังจากสร้างเสร็จก็มีค่าเสื่อมราคา ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามมามากมาย
⭐ กลยุทธ์จับกลุ่มเฉพาะความเชี่ยวชาญ กลยุทธ์นี้หลังๆอินเทรนท์มาแรงอย่างยิ่ง เช่น มีโรงพยาบาลแห่งหนึ่งจับกลุ่มคนจีนที่อยากมีลูก ทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ หรือโรงพยาบาลที่มีจุดเด่นเรื่อง แพคเกจครบวงจร ทั้งรักษาและมีคอร์สฟื้นฟูสปาไปพร้อมกัน แม้แต่การนำจุดขายเรื่องศัลยกรรมเข้ามาชูโรงเช่นกัน
ทำไมหุ้นโรงพยาบาลถึงน่าสนใจ?
นอกจากจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ความต้องการรับบริการทางการแพทย์ที่มีมาตรฐานแล้ว การเกิดโรคใหม่ๆ ถือเป็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจโรงพยาบาล ทำให้หุ้นกลุ่มนี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น เพราะมองว่าเป็นธุรกิจที่มีความมั่นคงและความเสี่ยงต่ำ และเป็นสิ่งจำเป็นในการดำเนินชีวิต
1.เป็นธุรกิจที่มีรายได้สม่ำเสมอ ข้อนี้ต้องขอออกตัวก่อนว่าเป็นลักษณะของหุ้นโรงพยาบาลในภาพรวมนะครับ เพราะในแต่ละโรงพยาบาลมีฐานลูกค้าที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกโรงพยาบาลมีเหมือนกัน คือ รายได้ระยะยาว ที่เกิดจากการใช้บริการของลูกค้าหรือผู้ป่วย โดยในตอนแรก หลังจากลงทุนสร้างอาคารและอุปกรณ์ เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือจะเป็นการเก็บรายได้จากผู้ใช้บริการล้วน ๆ ซึ่งแต่ต่างจากธุรกิจอื่น ๆ เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ที่ต้องมีการสร้างสิ่งก่อสร้างเรื่อย ๆ เพื่อรักษาอัตรากำไร
2. เป็นธุรกิจที่ความเสี่ยงน้อย ข้อนี้มีชื่อเรียกตามภาษานักลงทุนว่า เป็นหุ้น Defensive Stock ข้อดีของมันคือ ในยามที่ตลาดหุ้นกำลังอยู่ในหายนะ หุ้นโรงพยาบาลดี ๆ ก็ไม่ได้ร่วงลงมามากนัก ตรงกันข้ามหากตลาดหุ้นกำลังรุ่งพุ่งแรง หุ้นโรงพยาบาลก็ไม่ได้พุ่งปรี๊ดทะลุปรอทเช่นเดียวกัน เรียกได้ว่า เป็นหุ้นปลอดภัย ถือกันได้ยาว ๆ ครับ
3. เป็นธุรกิจที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง ข้อนี้เป็นผลต่อเนื่องจากข้อ 1 ที่ลงทุนครั้งเดียว แล้วจะมีกระแสเงินสดตามมาเรื่อย ๆ สุดท้ายก็สามารถคืนทุนได้อย่างรวดเร็ว
ธุรกิจโรงพยาบาลมักจะเติบโตได้ดีในช่วงเศรษฐกิจไม่ค่อยดี ดังนั้น จึงถูกมองว่าเป็นหุ้นกลุ่มเชิงรับ (Defensive Stock) ทำให้เห็นการซื้อขายค่อนข้างคึกคักในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ และหากสังเกตก็พบว่าโรงพยาบาลเป็นธุรกิจที่ทำความเข้าใจได้ง่าย นักลงทุนสามารถศึกษาข้อมูล วิเคราะห์ได้ง่ายและรวดเร็ว ซึ่งก่อนตัดสินใจลงทุนหุ้นโรงพยาบาล ต้องทำการวิเคราะห์จากปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก ศึกษาข้อมูลบทวิจัยและขอคำแนะนำจากนักวิเคราะห์ อีกทั้งควรลงทุนในระยะยาว
สรุป
สำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาหุ้นที่มีรายได้สม่ำเสมอและเหมาะกับการสะสมความมั่งคั่งไว้ในพอร์ตการลงทุน 7 หุ้นโรงพยาบาลที่ได้กล่าวไปทั้งหมดถือมีความโดดเด่นและมีศักยภาพในการเติบโตเป็นอย่างมาก หากคุณมองหาหุ้นของโรงพยาบาลที่มีฐานลูกค้าต่างชาติเป็นหลัก โรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงน่าจะตอบโจทย์มากที่สุด หรือหากสนใจธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางและขยายสาขาได้ดี ก็สามารถเลือกดูโรงพยาบาลขนาดกลางที่มีศักยภาพในการเติบโตเช่นกัน ห้ามพลาดที่จะพิจารณาหุ้นเหล่านี้ หากต้องการเสริมความมั่นคงให้กับพอร์ตลงทุนของคุณในระยะยาว

จุดแข็งที่น่าสนใจสำหรับการเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลมีปัจจัยอะไรบ้าง
ถ้าจะเลือกลงทุนในหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาล นักลงทุนต้องคำนึงถึงความเสี่ยงในด้านใดบ้าง
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน