8 หุ้นเทคโนโลยีที่น่าสนใจในปี 2024 (เวอร์ชั่นล่าสุด)
ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าอุตสาหกรรม “เทคโนโลยี” ถือเป็นกลุ่มหุ้นที่มีบทบาทสำคัญต่อนวัตกรรมสินค้า บริการ และสารสนเทศ หรือ การสื่อสาร ทั้งในและต่างประเทศ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ในรอบ 10 ปีที่ผ่านหุ้นเทคโนโลยีของบริษัทชื่อดังอย่างเช่น Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, META, Tesla และ Nvidia จึงได้รับความสนใจและเติบโตอย่างก้าวกระโดด ในบทความนี้เราได้รวบรวมตัวอย่างบริษัทที่เติบโตขึ้นมาจากเทคโนโลยี ทำไมหุ้นเทคโนโลยีจึงน่าสนใจ และควรเลือกลงทุนหุ้นเทคโนโลยีอย่างไร มาติดตามกัน
หุ้นเทคโนโลยีคืออะไร?
หุ้นเทคโนโลยี (Technology Stocks) คือหุ้นของบริษัทที่เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจเทคโนโลยี หรือบริษัทที่มีการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญในกิจการของพวกเขา บริษัทที่มีหุ้นเทคโนโลยีมักมีรายได้จากการผลิตหรือให้บริการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เช่น บริษัทซอฟต์แวร์ บริษัทอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ บริษัทเครือข่าย บริษัทบริการออนไลน์ และอื่น ๆ หุ้นเทคโนโลยี จัดเป็นหุ้นประเภทเติบโตสูง หรือที่เรามักเรียกกันว่า growth stock ซึ่งแตกต่างจากหุ้นเน้นคุณค่าทั่วไป (value stock) ตรงที่การเติบโตของรายได้สูงมาก แต่ในบางครั้งอาจไม่มีกำไร ทำให้ P/E ใช้ดูความถูกแพงของหุ้นไม่ได้เสมอไป
ประเภทของหุ้นเทคโนโลยี
🔸 หุ้นบริษัทเทคโนโลยีชั้นยอด (Tech Giants): หุ้นของบริษัทที่มีตำแหน่งสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี รวมถึงบริษัทใหญ่โตอย่าง Apple, Amazon, Microsoft, Google (Alphabet), Facebook (Meta Platforms) และอื่น ๆ
🔸 หุ้นบริษัทซอฟต์แวร์ หุ้นของบริษัทที่พัฒนาและจำหน่ายซอฟต์แวร์และบริการเชิงซอฟต์แวร์ เช่น Microsoft, Adobe, และอื่น ๆ
🔸หุ้นบริษัทฮาร์ดแวร์ หุ้นของบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น Apple, NVIDIA, AMD, และอื่น ๆ
🔸 หุ้นบริษัทเทคโนโลยีระดับกลางและระดับเล็ก หุ้นของบริษัทที่เป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีแต่มีขนาดเล็กถึงกลาง เช่น Zoom Video Communications, Square, DocuSign, และอื่น ๆ
🔸 หุ้นบริษัทเทคโนโลยีใหม่ (Startups): หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีรุ่นใหม่ที่กำลังเจริญเติบโต และมีศักยภาพในการเป็นผู้บุกเบิกในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น Uber, Airbnb, Palantir, Snowflake, และอื่น ๆ
🔸 หุ้นบริษัทเทคโนโลยีโรบอติกส์และปัจจัยสร้างความเชื่อถือ หุ้นของบริษัทที่เชี่ยวชาญในการพัฒนาเทคโนโลยีโรบอติกส์และปัจจัยที่สร้างความเชื่อถือ เช่น Tesla, NVIDIA, และ Intuitive Surgical
8 หุ้นเทคโนโลยีที่น่าสนใจในปี 2024
เปรียบเทียบหุ้นเทคโนโลยี
ชื่อหุ้น | มูลค่าตลาด (ล้านล้าน USD) | กำไร 6 เดือนแรก ปี 2024 (ล้าน USD) | อัตรากำไรสุทธิ (%) | ราคาหุ้นปัจจุบัน (USD ต่อหุ้น) | ราคาหุ้นเป้าหมาย สูงสุด (USDต่อหุ้น): investing.com |
AAPL | 3.52 | 21448 | 26.44 | 231.41 | 300 |
NVDA | 3.47 | 16599 | 55.04 | 141.54 | 200 |
GOOG | 2.04 | 23619 | 26.7 | 165.27 | 220 |
AMZN | 1.97 | 13485 | 7.35 | 187.83 | 265 |
META | 1.45 | 13465 | 34.34 | 573.25 | 811 |
TSLA | 0.843 | 2167 | 13.07 | 269.19 | 315 |
MSFT | 3.18 | 22036 | 35.96 | 428.15 | 600 |
ADBE | 0.21 | 1684 | 25.59 | 483.72 | 704.55 |
1. Apple (AAPL)
ราคา AAPL แบบเรียลไทม์
บริษัทแอปเปิล sinv Apple Inc. ก่อตั้งขึ้นในปี 1976 โดย Steve Jobs, Steve Wozniak และ Ronald Wayne เริ่มต้นจากการผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและโด่งดังจาก Apple II และ Macintosh หุ้นของ Apple เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 1980 โดยในปี 2014 ได้เปิดตัว iPhone 16 ซึ่งมาพร้อมกล้องที่พัฒนาและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น, การขยายตัวในตลาดบริการ Apple TV+ และ Apple Music โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มรายได้จากบริการเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง AAPL มีผลประกอบการ 6 เดือนแรก 2024 และตัวเลขที่สำคัญ ณ 27 ตุลาคม 2024 ดังนี้
รายได้รวม 85,777 ล้านดอลลาร์
กำไรสุทธิ 21,448 ล้านดอลลาร์
อัตรากำไรสุทธิ 26.44%
Market Cap. 3.52 ล้านล้านดอลลาร์
P/E 31.44 เท่า
ผลตอบแทนจากการลงทุน 60.73%
2.Nvidia (NVDA)
ราคา NVDA แบบเรียลไทม์
อินวิเดีย ก่อตั้งขึ้นในปี 1993 โดย Jensen Huang, Chris Malachowsky และ Curtis Priem โดยเริ่มต้นจากการพัฒนาชิปกราฟิกสำหรับการเล่นเกม ในปี 1999 จนได้เปิดตัว GeForce 256 ซึ่งถือเป็นชิปกราฟิกตัวแรกที่มีการประมวลผลแบบ 3D ที่ดีที่สมบูรณ์ที่สุดในขณะนั้น Nvidia ได้พัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง และกลายมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมกราฟิกอย่างทุกวันนี้ในปี
ในปี 2024 Nvidia มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และการขยายธุรกิจเข้าสู่เทคโนโลยี AI และคลาวด์คอมพิวติ้ง เช่น ผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดอย่าง GPU รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผลและการเรียนรู้ของ AI
รายได้รวม 30,040 ล้านดอลลาร์
กำไรสุทธิ 16,599 ล้านดอลลาร์
อัตรากำไรสุทธิ 55.04%
Market Cap. 3.47 ล้านล้านดอลลาร์
P/E 65.2 เท่า
ผลตอบแทนจากการลงทุน 96.11%
3. Alphabet (GOOG)
ราคา GOOG แบบเรียลไทม์
แอลฟาเบต ก่อตั้งขึ้นในปี 2015 จากการปรับโครงสร้างของบริษัทเพื่อเข้ามาดูแลธุรกิจอื่น ๆ โดย Google เริ่มต้นจากการก่อตั้งในปี 1998 โดย Larry Page และ Sergey Brin เพื่อพัฒนาเครื่องมือค้นหาที่มีประสิทธิภาพ หรือ Search Engine โดยในปี 2024 Alphabet ยังคงขยายธุรกิจและพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ โดยมีการลงทุนในเทคโนโลยี AI และการวิเคราะห์ข้อมูลที่ล้ำสมัย ส่งผลให้บริษัทมีรายได้ที่สูงขึ้นจากการโฆษณาออนไลน์และบริการคลาวด์
รายได้รวม 84,742 ล้านดอลลาร์
กำไรสุทธิ 23,619 ล้านดอลลาร์
อัตรากำไรสุทธิ 26.7%
Market Cap. 2.04 ล้านล้านดอลลาร์
P/E 28.71 เท่า
ผลตอบแทนจากการลงทุน 27.66%
4. Amazon (AMZN)
ราคา AMZN แบบเรียลไทม์
Amazon ก่อตั้งขึ้นในปี 1994 โดย Jeff Bezos ที่แต่ก่อนเป็นธุรกิจร้านหนังสือออนไลน์ แต่ด้วยเทรนด์ของอินเทอร์เน็ตบริษัทก็ขยายบริการไปยังสินค้าอื่น ๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้า และของใช้ในบ้าน ซึ่งในปี 2002 Amazon ได้เปิดตัวบริการ Amazon Web Services (AWS) คลาวด์ที่ช่วยสร้างรายได้มหาศาลให้กับบริษัท โดยในปี 2024 Amazon ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจและขยายบริการ โดยเฉพาะในด้านคลาวด์คอมพิวติ้งและการค้าออนไลน์
รายได้รวม 147,977 ล้านดอลลาร์
กำไรสุทธิ 13,485 ล้านดอลลาร์
อัตรากำไรสุทธิ 7.35%
Market Cap. 1.97 ล้านล้านดอลลาร์
P/E 40.61 เท่า
ผลตอบแทนจากการลงทุน 12.54%
5. Meta Platforms (META)
ราคา META แบบเรียลไทม์
เมตา แพลตฟอมส์ Meta ก่อตั้งขึ้นในปี 2004 โดย Mark Zuckerberg และเพื่อนร่วมงานขณะเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในช่วงเริ่มต้น Facebook ถูกสร้างขึ้นเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลสำหรับนักศึกษา แต่ในไม่ช้าก็ได้ขยายฐานผู้ใช้ไปยังบุคคลทั่วไปทั่วโลก โดยในปี 2024 Meta ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมและขยายธุรกิจ โดยเน้นไปที่เทคโนโลยี VR (Virtual Reality) และ AR (Augmented Reality)
รายได้รวม 39,071 ล้านดอลลาร์
กำไรสุทธิ 13,465 ล้านดอลลาร์
อัตรากำไรสุทธิ 34.34%
Market Cap. 1.45 ล้านล้านดอลลาร์
P/E 28.74 เท่า
ผลตอบแทนจากการลงทุน 27.68%
6. Tesla (TSLA)
ราคา TSLA แบบเรียลไทม์
เทสลา ก่อตั้งขึ้นในปี 2003 โดย Martin Eberhard และ Marc Tarpenning และต่อมาในปี 2004 Elon Musk ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในผู้ลงทุนหลัก จน Tesla ได้ขยายสายผลิตภัณฑ์ไปยังรถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่น เช่น Model S, Model 3, Model X และ Model Y นอกจากนี้ Tesla ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่และพลังงานสะอาด เช่น โซลาร์เซลล์ และ Powerwall
รายได้รวม 25,182 ล้านดอลลาร์
กำไรสุทธิ 2,167 ล้านดอลลาร์
อัตรากำไรสุทธิ 13.07%
Market Cap. 8.43 แสนล้านดอลลาร์
P/E 24.15 เท่า
ผลตอบแทนจากการลงทุน 9.47%
7. Microsoft (MSFT)
ราคา MSFT แบบเรียลไทม์
ไมโครซอฟท์ เป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตและพัฒนาซอฟต์แวร์รายใหญ่ของโลก ปัจจุบันเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีฐานการผลิตอยู่ที่ เมืองเรดมอนด์ รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา โดยผลิตภัณฑ์ของไมโครซอฟท์ที่มีกำลังการตลาดมากที่สุดคือ ระบบปฏิบัติการไมโครซอฟท์ วินโดวส์ และ ไมโครซอฟท์ ออฟฟิศ มีผลประกอบการปี 2023 และตัวเลขที่สำคัญ ณ 17 มิถุนายน 2024 ดังนี้
รายได้รวม 64,727 ล้านดอลลาร์
กำไรสุทธิ 22,036 ล้านดอลลาร์
อัตรากำไรสุทธิ 35.96%
Market Cap. 3.18 ล้านล้านดอลลาร์
P/E 28.74 เท่า
ผลตอบแทนจากการลงทุน 28.2%
8.Adobe Inc. (ADBE)
ราคา ADBE แบบเรียลไทม์
บริษัท Adobe ก่อตั้งขึ้นในปี 1982 โดย John Warnock และ Charles Geschke โดยเริ่มต้นจากการพัฒนาโปรแกรมสำหรับการจัดการเอกสารและการออกแบบกราฟิก เช่น Adobe Photoshop, Adobe Illustrator และ Adobe Acrobat ซึ่งมีการใช้งานอย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยในปี 2024 มีโครงการใหม่ ๆ ที่น่าสนใจมากมาย เช่น Adobe Firefly, Adobe Experience Cloud และ เทคโนโลยี AR/VR เป็นต้น
รายได้รวม 5,408 ล้านดอลลาร์
กำไรสุทธิ 1,684 ล้านดอลลาร์
อัตรากำไรสุทธิ 25.59%
Market Cap. 2.13 แสนล้านดอลลาร์
P/E 28.71 เท่า
ผลตอบแทนจากการลงทุน 31.23%
วิธีเลือกหุ้นเทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยม
หุ้นเทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมมักมีลักษณะเฉพาะที่แสดงถึงคุณค่าและความเชี่ยวชาญของบริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ข้างล่างนี้คือลักษณะสำคัญของหุ้นเทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมและข้อแนะนำในการเลือก:
👉 ธุรกิจที่ช่วยสร้างยอดขายให้กับบริษัทอื่น คือ บริษัทที่พัฒนาผลิตภัณฑ์มาช่วยบริษัทหรือผู้ประกอบการเพิ่มยอดขาย เช่น Alibaba หรือ Amazon ที่เป็นบริษัท e-commerce ให้พื้นที่ผู้คนมาขายของ สร้างรายได้
👉 ธุรกิจที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน คือ บริษัทที่พัฒนาผลิตภัณฑ์มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ลูกค้า ผู้ใช้บริการจะได้ทำงานสำเร็จลุล่วงอย่างมีประสิทธิภาพและในเวลาที่น้อยลง เช่น Workday Saleforce HubSpot Slack และ Zendesk
👉 ธุรกิจที่ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่าย คือ บริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถประหยัดต้นทุนให้กับบริษัทอื่นๆ ได้ ซึ่งการลดต้นทุนถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นมากในการทำธุรกิจ เพราะยิ่งมีต้นทุนต่ำ กำไรก็ยิ่งสูง เช่น DocuSign และ Zoom
ส่วนข้อลิสต์ที่รองๆลงมาในการหาหุ้นเทคโนโลยีที่น่าสนใจที่ใช้ประกอบการตัดสินใจอย่างเช่น
👉การเจริญเติบโต หุ้นเทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมมักมีประวัติการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว คล้ายๆ บริษัท Starup และมีศักยภาพในการเจริญเติบโตในอนาคต การดำเนินการเช่นยอดขายและกำไรสุทธิที่เติบโตเร็วเป็นสัญญาณที่ดี.
👉 นวัตกรรม บริษัทที่มีประวัติการพัฒนาและนำสินค้าหรือบริการใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาดมักมีโอกาสที่จะเป็นหุ้นที่ยอดเยี่ยมสำหรับการลงทุน การครอบครองทรัพย์สินทางปัจจุบันและทางปัจจุบันสำคัญเพื่อสร้างคุณค่าในระยะยาว
👉 ความเชี่ยวชาญ บริษัทควรมีความเชี่ยวชาญในสาขาเทคโนโลยีของตน เช่น บริษัทซอฟต์แวร์ควรมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาซอฟต์แวร์ และบริษัทอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ควรมีความเชี่ยวชาญในการผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
👉 การทำกำไร การมีกำไรสุทธิเป็นสิ่งสำคัญในการประเมินความสามารถในการดำเนินการของบริษัท โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่มีความแข็งแกร่งในการแข่งขัน โดยนักลงทุนสามารถอ่านงบกำไรขาดทุนได้ในสื่อออนไลน์ทุกประเภท
ข้อดีข้อเสียของการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี
นี่คือข้อดีหลายๆ ประการในการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี:
✅ โอกาสในการเจริญเติบโต อุตสาหกรรมเทคโนโลยีมักมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากนวัตกรรมและความต้องการของเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สูง การลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีให้โอกาสในการเจริญเติบโตที่สูง
✅ การทำกำไรสูง บริษัทเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จมักมีรายได้และกำไรสูง สิ่งนี้ส่งผลให้การลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีมีศักยภาพในการทำกำไรสูง
✅ ความนิยมและความต้องการสูง เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิตประจำวันและจำเป็นอย่างยิ่งในภาคธุรกิจ มีความต้องการสูงในการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และบริการออนไลน์ ซึ่งส่งผลให้
✅ การลงทุนในนวัตกรรม บริษัทเทคโนโลยีมักมีการลงทุนในนวัตกรรม โดยเฉพาะการวิจัยและพัฒนา ซึ่งจะสร้างคุณค่าในระยะยาวและช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่บริษัท
✅ ความสามารถในการครอบครอง หุ้นเทคโนโลยีมักมีความนิยมและความเชี่ยวชาญในตลาด ซึ่งส่งผลให้การครอบครองหุ้นเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างคุณค่าในระยะยาว
และนี่คือบางข้อเสียที่อาจเกิดขึ้นจากการที่เลือกลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี
❌ ความผันผวนสูง หุ้นเทคโนโลยีมักมีความผันผวนในราคาที่สูง ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนต้องยอมรับความเสี่ยงในการสูญเสียเงินทุนในระยะสั้น
❌ ความผันผวนในตลาด หุ้นเทคโนโลยีมักมีความผันผวนต่อราคาตลาดที่สูง ซึ่งอาจทำให้ตลาดหุ้นเทคโนโลยีหรือตลาดทั่วไปมีความผันผวนมากขึ้น
❌ การผันแปรของเทคโนโลยี เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และบริษัทที่เป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอาจพลาดการปรับตัวให้ทันสถานการณ์หรือที่ดีกว่าตำแหน่งของตนในตลาด
❌ ความแข็งแกร่งในการแข่งขัน อุตสาหกรรมเทคโนโลยีมีการแข่งขันอย่างรุนแรง การแข่งขันในระดับสูงสามารถทำให้บริษัทพลาดโอกาสในการเจริญเติบโตและกำไร
ฉันควรเริ่มลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีหรือไม่?
การลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ สามารถสร้างกำไรได้จริง โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากกระแสด้านนวัตกรรมที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน ยังมีมุมมองเป็นกลางต่อหุ้นทั่วโลก โดยเชื่อว่าการคัดสรรหุ้น (stock selection) ในภาวะตลาดเช่นนี้มีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ดังนั้นหากนักลงทุนมีสัดส่วนหุ้นสหรัฐฯ ในพอร์ตอยู่แล้ว ให้พยายามมองหาหุ้นที่พักตัวลงมา หรือ อาศัยการปรับพอร์ตอย่างต่อเนื่อง เพราะราคาหุ้นเทคโนโลยีได้นำตลาดหุ้นไปสู่จุดสูงสุดใหม่ในปี 2024 และ Technology Select Sector SPDR ETF (XLK) ก็มีประสิทธิภาพเหนือกว่าผลตอบแทนรวมของ S&P 500 ซะด้วยซ้ำ
วิธีเทรดหุ้นเทคโนโลยี
นักลงทุนมีวิธีในการเข้าลงทุนหุ้นเทคโนโลยีต่างๆดังนี้
1.ตลาดหลักทรัพย์ เช่น การซื้อผ่านโบรกเกอร์หลักทรัพย์ หรือ ลงทุนผานการเสนอขายหุ้นครั้งแรกให้แก่สาธารณชน (IPO)
2.ลงทุนผ่านกองทุนรวม ผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นของบริษัท นี่เป็นวิธีที่สะดวกและที่ไม่ต้องจัดการโดยตรงกับการซื้อขายหุ้น เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการซื้อหุ้นเทคโนโลยีในต่างประเทศ
3.การซื้อผ่านโบรกเกอร์หุ้นที่มีใบอนุญาต (เป็นวิธีการที่นิยมที่สุด) หากคุณต้องการความคุ้มครองและการแนะนำในการลงทุน คุณสามารถเลือกใช้โบรกเกอร์หลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตและมีประสบการณ์ในการจัดการการลงทุนในหุ้น ซึ่งนักลงทุนสามารถเล่นหุ้นออนไลน์ได้ง่ายๆรูปแบบของ CFD (Contract for Difference) เทรดได้ทั้งสองฝั่ง คือขาขึ้นและขาลง
หมายเหตุ การลงทุนในรูปแบบของCFD หรือ (Contract for Difference) เป็นรูปแบบหนึ่งที่สามารถเข้าซื้อ (BUY) เมื่อมองว่าราคาจะขึ้นและขาย (SELL) เมื่อมองว่าราคาจะลง
จะมารู้จักการซื้อขายผ่านระบบของ CFD ซึ่งเป็นที่นิยมในการลงทุนเพราะใช้ทุนเริ่มต้นน้อยกว่า และมีเลเวอเลจช่วยให้เงินมูลค่ามากขึ้นในตลาด สามารถใช้ผ่านแพลตฟอร์ม Mitrade บนเว็ปไซต์หรือผ่านแอพพลิเคชั่น
โดยการซื้อหุ้นต่างประเทศผ่านระบบ CFD นักลงทุนจะไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆ โดยสามารถซื้อได้ทั้งสองฝั่ง คือ ขาขึ้นและขาลง เมื่อนักลงทุนวิเคราะห์ราคาแล้ว จะเห็นว่าระบบ CFD จะมีข้อได้เปรียบในเรื่องของ Leverage ที่ให้มาสูงสุดถึง 10 เท่า เมื่อเทียบกับซื้อหุ้นในช่องทางปกติแล้ว ถ้าซื้อหุ้น META หรือเมตา ต้องใช้เงินถึง 300.9 USD ต่อหุ้น หรือกว่า 1 หมื่นบาท
จากระบบ CFD ทำให้ใช้เงินทุนมาร์จิ้นเพียง 31 USD ต่อการซื้อขาย 1 ล๊อต ทำให้ช่วยประหยัดต้นทุน และยังสามารถทำกำไรได้มากถึง 10 เท่าเช่นเดียวกัน เช่นถ้า ราคาขยับจาก 300 USD ไปที่ 315 USD หรือจะทำกำไรได้ประมาณ 15 USD โดยประมาณ การเทรดในรูปแบบ CFD นักลงทุนต้องศึกษาเรื่องของความเสี่ยงจากการใช้เลเวอเลจเช่นกัน หรือเริ่มต้นลองใช้ที่เลเวอเรจ 2 เท่า เป็นต้น
*** Mitrade เป็นตัวเลือกแรกสำหรับการเทรดหุ้นเทคโนโลยี เริ่มต้นได้ด้วยเกณฑ์การฝากขั้นต่ำเพียง50 USD เท่านั้น!
สรุป
หุ้นเทคโนโลยีในปัจจุบันมีให้เลือกลงทุนหลากหลายตัว ไม่ว่าจะเป็นหุ้นยอดฮิตอย่างกูเกิ้ล หรือ แอปเปิ้ลเองก็สามารถติดตามข่าวสาร เทคโนโลยี ทั้งระบบการใช้งาน รวมถึงสินค้าใหม่ๆ และสามารถเลือกจากทั้งรายได้หรือตัวเลขของเป้าหมายของราคาได้ตามพิจารณา ดังนั้นหากเทคโนโลยียังมีส่วนสำคัญในการพัฒนาสินค้าและบริการของมนุษย์แล้ว หุ้นในกลุ่มนี้ก็ยังคงมีโอกาสในการทำกำไรที่สูง ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นต้องเลือกเวลาในการซื้อ ตราบใดที่คุณยังคงมองแนวโน้มในระยะยาว
จำนวนเงินขั้นต่ำที่สามารถเริ่มลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี
ข้อความระวังในการเข้ามาลงทุนในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี
ข้อแนะนำสำหรับมือใหม่ที่สนใจลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี มีอะไรบ้าง
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน