ตลาดหุ้นอเมริกาขึ้นชื่อว่าให้ผลตอบแทนสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของปี 2567 การลงทุนในหุ้นอเมริกาเป็นเป้าหมายของนักลงทุนทั่วโลก สนับสนุนโดยหุ้นเติบโตที่รู้จักกันดีอย่าง Nvidia, Apple, Alphabet ฯลฯ แล้วสำหรับนักลงทุนไทยจะลงทุนหุ้นอเมริกาได้หรือไม่ ตลาดหุ้นอเมริกายังน่าสนใจอยู่หรือไม่ในช่วงที่ดัชนีทำจุดสูงสุดตลอดกาลเช่นนี้ บทความนี้เรามีคำตอบไปดูกัน!
เจาะตลาดหุ้นอเมริก า
ถ้าพูดถึงตลาดหุ้นอเมริกาแล้วจะมีสองตลาดหลักที่นักลงทุนจะนึกถึงคือ ตลาดหุ้นนิวยอร์ค (New York Stock Exchange – NYSE) และ ตลาดหุ้นแนสแด็ก (NASDAQ) ตลาดหุ้นอเมริกาทั้งสองแห่งเป็นแหล่งรวมเงินลงทุนจากนักลงทุนทั้งรายย่อยและสถาบันทั่วโลกจนได้ชื่อว่ามีมูลค่าตามราคาตลาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่งและสองของโลกด้วยขนาด 28.42 และ 25.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐตามลำดับ
ตลาดหุ้นนิวยอร์ค (NYSE) มีที่ตั้งอยู่ในนิวยอร์คและเป็นตลาดหที่เก่าแก่ที่สุดในอเมริกา ถือเป็นตลาดที่มีหุ้นจดทะเบียนเข้าซื้อขายมากที่สุด และมีหุ้นที่รู้จักกันดีในกลุ่มการเงิน อุปโภคบริโภค และกลุ่มพลังงาน เช่น Birkshine Hathaway, Novo Nordisk, VISA, Eli Lilly ฯลฯ
ตลาดหุ้นแนสแด็ก (NASDAQ) เป็นแหล่งรวมหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีการเติบโตสูงและบรรดาหุ้นของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ชั้นนำของโลก เช่น Alphabet, Meta, Apple, Nvidia, Tesla ฯลฯ
สำหรับการวัดผลตอบแทนจากตลาดหุ้นสหรัฐใช้ดัชนี 3 ตัวหลัก ได้แก่
1.ดัชนี Dow Jones Industrial Average เป็นดัชนีที่คำนวณจากการถ่วงน้ำหนักด้วยราคาตลาดของหุ้นขนาดใหญ่ 30 ตัวในตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งหุ้นส่วนใหญ่ที่นำมาคำนวณมักเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีรายได้จากทั้งในและต่างประเทศ ตัวอย่างเช่น Boeing, American Express, JP Morgan, Nike ฯลฯ
2.ดัชนี S&P500 เริ่มแรกจัดทำโดย Standard and Poor’s นับย้อนไปตั้งแต่พ.ศ. 2466 ปัจจุบันรวบรวมหุ้น 500 ตัวในตลาดหุ้นสหรัฐคำนวณด้วยการถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด สามารถบ่งบอความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในตลาดหุ้นได้กว่า 80% ของทั้งตลาด มักใช้เป็นดัชนีชี้วัดภาพเศรษฐกิจในสหรัฐได้ดีที่สุด หุ้นในดัชนีนี้เช่น Exon, VISA, Walmart, Coca Cola ฯลฯ
3.ดัชนี Nasdaq Composite Index เป็นดัชนีที่คัดเลือกหุ้นเทคโนโลยี หุ้นนวัตกรรม หรือเทคโนโลยีไบโอเทค มาคำนวณด้วยการถ่วงน้ำหนักจากมูลค่าตามราคาตลาด ซึ่งแม้จะรู้จักกันดีในฐานะดัชนีสำหรับหุ้นเทคโนโลยี ดัชนี NASDAQ ยังประกอบด้วยหุ้นกลุ่มการเงิน ขนส่ง และอุตสาหกรรมด้วย เช่น Airbnb, Adobe, Nvidia, Tesla, lululemon ฯลฯ
ทำไมต้องลงทุนในหุ้นอเมริกา?
ตลาดหุ้นอเมริกาน่าสนใจจนเป็นแหล่งรวมนักลงทุนจากทั่วโลกด้วยสาเหตุหลายอย่าง เช่น
เป็นตลาดขนาดใหญ่ ด้วยขนาดใหญ่กว่า 30 ล้านล้านเหรียญสหรัฐทำให้ตลาดหุ้นอเมริกาสามารถรองรับเงินลงทุนจำนวนมากจากทั้งสถาบันและกองทุนความมั่งคั่งของประเทศต่าง ๆ ได้แบบสบาย ๆ และด้วยขนาดตลาดที่ใหญ่ขนาดนี้ทำให้ราคาหรือดัชนีถูกบิดเบือนจากเงินลงทุนขนาดใหญ่ได้ยาก
มีสภาพคล่องสูง ด้วยมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยกว่า 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อวันทำให้การซื้อขายหุ้นที่นี่ทำได้ง่ายและมีต้นทุนการซื้อขายไม่สูงมากนัก
มีหุ้นหลากหลาย ตลาดหุ้นสหรัฐเป็นแหล่งรวบรวมหุ้นจากบริษัทชั้นนำในเมริกาเหนือและทั่วโลกมาไว้ มีหุ้นขนาดใหญ่ที่มีความสามารถในการทำกำไรจากหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ทำให้สามารถใช้กระจายความเสี่ยงพอร์ตการลงทุนได้ดี
มีความโปร่งใส มีการกำกับตรวจสอบจากหน่วยงานหลายฝ่ายด้วยกฎระเบียบที่เป็นมาตรฐาน
มีนวัตกรรมและการเติบโตสูง ตลาดหุ้นอเมริกามีทั้งหุ้นบลูชิปและเปิดให้มีการระดมทุนสำหรับหุ้นบริษัทที่เริ่มต้นคิดนวัตกรรม เช่น Tesla Apple Nvidia ที่ช่วงแรกยังเป็นหุ้นที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่ ไม่ได้มีกำไรมากแต่สามารถสร้างการเติบโตสูงได้ เป็นต้น
วิธีเลือกหุ้นอเมริกาที่น่าลงทุน?
การลงทุนหุ้นอเมริกาเริ่มต้นได้ไม่ยาก หากยังไม่มีไอเดียที่จะเลือกซื้อหุ้นตัวไหนก็อาจคัดกรองด้วยโปรแกรมสแกนหุ้นทั่วไปจากค่า PE ที่ต่ำ, ROE สูง, CAGR สูง ซึ่งเงื่อนไขนี้มักให้หุ้นที่ราคายังถูกแต่มีอัตราการเติบโตและผลตอบแทนให้ผู้ลงทุนที่สูง แต่ก็เป็นแค่วิธีคร่าว ๆ เท่านั้น หากนักลงทุนต้องการลงทุนหุ้นอเมริกาด้วยการเก็บหุ้นดีใส่พอร์ตการเลือกหุ้นก็เป็นขั้นตอนที่ต้องลงรายละเอียด คือพิจารณาจาก
การเติบโตของอุตสาหกรรม
หุ้นที่น่าลงทุนและราคาปรับตัวขึ้นได้ดีมักอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตและเป็นที่สนใจของนักลงทุน เช่น ช่วงก่อนปี 2000 การเกิดขึ้นของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทำให้หุ้นกลุ่มนี้เติบโตจนเกิดฟองสบู่ จากนั้นหุ้นกลุ่มการเงินกลับมาเป็นที่สนใจจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำแต่ก็ถูกทำให้ชลอลงจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ เมื่อเกิดโควิดก็เป็นรอบของหุ้นกลุ่มยาและการแพทย์ จนถึงปัจจุบันการพัฒนา AI กลับมาทำให้กลุ่มเทคโนโลยีเป็นที่น่าจับตามองอีกครั้ง
มีความสามารถในการแข่งขันและทำกำไร
เมื่อสามารถจำกัดอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตได้แล้ว หุ้นที่น่าลงทุนจะต้องเป็นผู้นำในตลาดนั้น ๆ และมีความสามารถในการแข่งขันและทำกำไรได้อย่างโดดเด่นในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น ๆ ซึ่งสามารถดูได้จากส่วนแบ่งทางการตลาดของอุตสาหกรรม โดยยิ่งบริษัทนั้นมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากและมีส่วนแบ่งในการทำกำไรมากจะยิ่งน่าสนใจ
ความเข้มแข็งของสถานะการเงิน
นอกจากเป็นหุ้นที่มีความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่เติบโตแล้ว หุ้นอเมริกาที่น่าลงทุนต้องมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งด้วย ซึ่งนักลงทุนสามารถตรวจสอบได้จากงบแสดงสถานะทางการเงินที่ควรมีส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นบวกและมีกระแสเงินสดที่หมุนเวียนได้อย่างต่อเนื่องเพียงพอสำหรับการดำเนินงาน
ตัวอย่าง
จากเว็บไซต์ Statista คาดว่าตลาดเซมิคอนดักเตอร์จะเติบโตเป็น $6.13 แสนล้านในปี 2567 และบริษัทในอุตสาหกรรมนี้จะสามารถทำกำไรได้เติบโต 6.3% ต่อปีเทียบการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ IMF คาดว่าจะโต 3.2% ในปี 2566 บริษัท 5 อันดับที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดได้แก่ Intel Samsung Qualcomm Broadcom และ Nvidia ซึ่งหากนักลงทุนลองเข้าไปเปิดงบการเงินดูจะพบว่าการเติบโตของผลกำไรในบรรดา 5 บริษัทนี้ Nvidia ถือว่ามีแนวโน้มเติบโตได้มากที่สุดจึงเป็นหุ้นที่ถูกเลือกมาเป็นหุ้นอเมริกาที่น่าลงทุน
หากต้องการเทรดหุ้น NVDA โปรดไปที่แพลตฟอร์มการเทรด Mitrade >>
วิธีลงทุนในหุ้นอเมริกา
การลงทุนหุ้นอเมริกาอาจเป็นเรื่องใหม่สำหรับนักลงทุนไทย แต่ปัจจุบันนักลงทุนไทยสามารถเข้าถึงการลงทุนหุ้นอเมริกาได้ด้วยวิธีการที่หลากหลายบนผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่แตกต่างกัน เช่น
1) ซื้อ DR
DR หรือ Depositary Receipt คือ ตราสารสิทธิในการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ เป็นทางเลือกใหม่สำหรับนักลงทุนไทยที่คุ้นเคยกับการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้วสามารถเข้าถึงการลงทุนหุ้นอเมริกาได้ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นไม่มาก ซื้อขายได้ในกระดานหุ้น และได้สิทธิเหมือนผู้ถือหุ้นทุกประการ แต่จำนวนหุ้นที่สามารถเทรดได้ยังมีน้อยจำกัดเฉพาะหุ้นอเมริกาที่ได้รับความนิยม
ช่องทางการซื้อขาย
เปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์ได้ทุกแห่ง เช่น บัวหลวง กสิกร อินโนเวสท์ เอกซ์
2) ซื้อหุ้นอเมริกาผ่านโบรกเกอร์ในไทย
ปัจจุบันโบรกเกอร์ไทยเริ่มมีแอปพลิเคชั่นที่ส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นอเมริกาได้โดยตรง ทำให้นักลงทุนสามารถเป็นเจ้าของหุ้นอเมริกาได้โดยไม่ต้องเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศ แค่เปิดบัญชีกับแอปพลิเคชันผู้ให้บริการและฝากเงินเข้าไปก็สามารถเริ่มซื้อขายหุ้นอเมริกาได้ วิธีนี้มีข้อดีที่นักลงทุนสามารถได้ประโยชน์จากการเป็นเจ้าของหุ้นจริง ๆ และเป็นวิธีที่ง่าย แต่ยังต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะหุ้นอเมริกาที่มีราคาสูงและต้องเสียภาษีทั้งในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐและกำไรที่ได้จะถูกนำมารวมเสียภาษีเงินได้ปลายปี
ช่องทางการซื้อขาย
เปิดบัญชีผ่านแอปพลิเคชันผู้ให้บริการ เช่น Dime, Innovest X
3) เก็งกำไรหุ้นอเมริกาผ่านเครื่องมือทางอนุพันธ์
วิธีนี้จะแตกต่างจากการลงทุนหุ้นอเมริกา 2 วิธีข้างต้น เนื่องจากเครื่องมือที่ใช้จะเป็นเครื่องมือทางอนุพันธ์ เช่น CFD ที่มีลักษณะเป็นสัญญาที่อ้างอิงราคาหุ้น ทำให้สามารถทำกำไรบนการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นได้ (ทั้งขาขึ้นและขาลง) นอกจากนี้ยังมีอัตราทดที่ช่วยขยายความสามารถในการทำกำไร(และขาดทุน) เครื่องมือตัวนี้จึงเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการทำกำไรจากส่วนต่างราคาในระยะสั้น ๆ โดยใช้เงินลงทุนที่น้อย โดยที่ไม่ได้ต้องการเป็นเจ้าของหุ้นหรือประโยชน์อื่น ๆ จากการเป็นเจ้าของหุ้น และมีต้นทุนในการซื้อขายที่ต่ำ
ช่องทางการซื้อขาย
เปิดบัญชีผ่านโบรกเกอร์ผู้ให้บริการ เช่น Mitrade (ฝากเงินขั้นต่ำ $50), IC Market (ฝากเงินขั้นต่ำ $200)
การลงทุนในหุ้นอเมริกาทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับสไตล์การลงทุนของแต่ละคน
นักลงทุนประเภท Conservative หรือ Passive Investor ที่คาดหวังผลตอบแทนใกล้เคียงตลาดหุ้นสหรัฐสามารถลงทุนได้ด้วยการใช้กองทุนดัชนี หรือ ETF อ้างอิงดัชนี ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่า การลงทุนรูปแบบนี้มักเป็นการลงทุนในระยะกลางถึงยาวจึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของดัชนีที่ให้ผลตอบแทนที่เหมาะสม
นักลงทุนประเภท Aggressive หรือ Active Investor ที่คาดหวังผลตอบแทนมากกว่าตลาดหรือสามารถชนะผลตอบแทนของตลาดได้ จำเป็นต้องเลือกลงทุนด้วยการคัดเลือกหุ้นที่น่าสนใจและมีแนวโน้มเติบโตได้ดีกว่าตลาดมาไว้ในพอร์ตการลงทุน หรือ ใช้การลงทุนแบบจับจังหวะเพื่อสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มให้สามารถชนะตลาดได้ การลงทุนมักเป็นได้ตั้งแต่การเทรดระยะสั้นไปจนถึงระยะกลาง จึงทำให้เครื่องมือทางเทคนิคและผลิตภัณฑ์ประเภทอนุพันธ์หรือ CFD จะให้ความได้เปรียบกับนักลงทุนได้มากว่า
กลยุทธ์การเทรด: ลงทุนในหุ้นอเมริกา
การลงทุนหุ้นอเมริกาทำได้หลายวิธี แม้ว่านักลงทุนจะเลือกหุ้นที่ดีมีแนวโน้มเติบโตเก็บใส่พอร์ตแล้วก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องใช้กลยุทธ์ซื้อแล้วถือ (Buy and Hold) อย่างเดียวเสมอไป คราวนี้เราจึงขอแนะนำวิธีลงทุนหุ้นอเมริกาให้ได้กำไรด้วยวิธีที่ไม่ซับซ้อนและสามารถนำไปใช้ได้จริงอย่างการทำ Swing Trade ด้วยเครื่องมือทางเทคนิคต่าง ๆ ดังนี้
การทำ Swing Trade ด้วย Bollinger Band และ Moving Average
Bollinger Band เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่คำนวณจากค่า Standard Diviation ซึ่งสามารถแสดงกรอบความผันผวนของราคาหุ้นได้ และด้วยข้อสมมติฐานที่ว่าราคาหุ้นมักจะเหวี่ยงกลับเข้าหาค่ากลางเสมอ ดังนั้นเมื่อราคาหุ้นเหวี่ยงตัวแตะขอบ Bollinger Band ก็มีแนวโน้มที่จะเหวี่ยงกลับเข้าหาเส้นค่าเฉลี่ย
การทำ Swing Trade ด้วย Bollinger Band เริ่มด้วยการกำหนดแนวโน้มราคาหุ้นว่าเป็นขาขึ้น ขาลง หรือไม่มีแนวโน้ม หากแนวโน้มราคาเป็นขาขึ้นนักลงทุนสามารถใช้กรอบบนของ Bollinger Band เป็นจุดขาย และซื้อกลับเมื่อราคาปรับตัวมาทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย โดยจะหยุดเพื่อรอประเมินใหม่เมื่อราคาหุ้นมีการเปลี่ยนแนวโน้มเป็นขาลงหรือไม่มีแนวโน้ม
ตัวอย่างหุ้น Microsoft, 2H
การทำ Swing Trade ด้วย Fibonacci Retracement และ Moving Average
Fibonacci Retracement คือสัดส่วนทองคำที่นักลงทุนในตลาดหุ้นมองว่าเป็นสัดส่วนการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่มีการยืดตัวและปรับฐาน ได้แก่ 0.236, 0.382, 0.618, 0.786, 1, 1.618 ฯลฯ ทำให้สามารถมองแนวเส้นสัดส่วนราคาเหล่านี้เป็นแนวรับแนวต้านในการเทรดได้
การ Swing Trade ด้วย Fibonacci Retracement และ Moving Average ทำได้ด้วยการลาก Fibonacci จากจุดปรับฐานก่อนหน้า เพื่อหาความเป็นไปได้ของการยืดตัวในคลื่นปัจจุบันด้วยสัดส่วนฟิโบฯ ที่ตั้งค่าไว้ โดยหากแนวโน้มหุ้นเป็นขาขึ้นและราคาปรับขึ้นชนแนวต้านของ Fibonacci Retracement ให้ขาย และซื้อกลับเมื่อราคาย่อตัวลงมาที่เส้น Moving Average โดยเฉพาะเมื่อเป็นจุดที่ Moving Average เป็นจุดเดียวกับแนวรับของ Fibonacci Retracement จะยิ่งเป็นแนวรับที่ดี
ตัวอย่าง หุ้น Nvidia, 2H
การทำ Swing Trade ด้วย RSI
RSI หรือ Relative Strength Index เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้บอกความแข็งแกร่งของโมเมนตัมราคาหุ้น โดยหากค่า RSI สูงเกิน 50 แสดงว่าราคากำลังเป็นขาขึ้นอ่อน ๆ และหากสูงเกิน 70 จะเริ่มบ่งชี้ภาวะซื้อมากเกินไป (Over bought) และมีแนวโน้มที่จะปรับฐาน ในทางตรงกันข้าม หาก RSI ต่ำกว่า 50 แสดงว่าราคากำลังเป็นขาลงแบบอ่อน ๆ ซึ่งหาก RSI ยิ่งเคลื่อนต่ำกว่า 30 จะเริ่มบ่งชี้ถึงภาวะการขายมากเกินไป (Over sold) และมีแนวโน้มที่จะรีบาวน์ RSI จึงสามารถนำมาใช้กับราคาที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งช่วยให้หาจุดกลับตัวได้ แต่ภาวะนี้เกิดขึ้นไม่บ่อย การนำ RSI มาใช้กับหุ้นที่ไม่มีแนวโน้ม (เคลื่อนตัวในกรอบ) ก็สามารถประยุกต์เป็นการ Swing Trade ได้
การ Swing Trade ด้วย RSI ทำได้ด้วยการเลือกหุ้นที่เคลื่อนตัวแบบไม่มีแนวโน้ม (Sideway) แล้วกำหนดกรอบการเทรดด้วยการซื้อที่ RSI ต่ำกว่า 30 และขายเมื่อ RSI เริ่มสูงกว่า 70 (ตัวเลขยืดหยุ่นได้ขึ้นอยู่กับหุ้นแต่ละตัว) โดยหยุดเพื่อประเมินใหม่เมื่อราคาเริ่มกลับมามีแนวโน้ม
ตัวอย่าง หุ้น P&G, D
นักลงทุนสามารถเข้าถึงเครื่องมือทางเทคนิคได้ไม่ยากเพียงสมัครใช้บริการกับโบรกเกอร์ เช่น Mitrade ที่มาพร้อมฟีเจอร์กราฟราคาพร้อมเครื่องมือทางเทคนิคที่สนับสนุนทั้งบนเว็บไซต์และแท็ปเล็ต โดยสามารถทดลองใช้งานได้ฟรีด้วยการเปิดบัญชีทดลองใช้ (Demo Account) โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
สิ่งที่ควรรู้เมื่อลงทุนในหุ้นอเมริกา
การซื้อหุ้นอเมริการให้ประสบความสำเร็จหรือเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ มี 3 สิ่งที่นักลงทุนควรรู้คือ
1.ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
การลงทุนในหุ้นอเมริกาต้องมีการแปลงมูลค่าจากเงินบาทเป็นดอลลาร์สหรัฐ และในการขายหุ้นเพื่อรับรู้ผลกำไรก็ต้องมีการแปลงมูลค่ากลับจากดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินบาท ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผลกำไรที่ได้จากการซื้อขายหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงไปจากที่คาดหวังได้
2.ต้นทุนการซื้อขาย
การซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นอเมริกาโดยตรงมีต้นทุนการซื้อขายเป็น
ค่าคอมมิชชั่น 0.08 USD ต่อหุ้น (ขั้นต่ำ 4.99 USD)
ค่าธรรมเนียมตลาด 0.00278% ของมูลค่าขาย
วันชำระเงิน T+1
ค่าธรรมเนียมนี้ใช้กับการซื้อหุ้นสหรัฐโดยตรง การซื้อขายหุ้นสหรัฐผ่านเครื่องมือเช่น DR, CFD ไม่มีต้นทุนส่วนนี้
3.ช่วงเวลาในการซื้อขายหุ้นอเมริกา
เวลาซื้อขายตามเวลาในประเทศไทย (มี.ค. - พ.ย.) 20.30 - 03.00 น.
เวลาซื้อขายตามเวลาในประเทศไทย (พ.ย. - มี.ค.) 21.30 - 04.00 น.
สรุป
การลงทุนหุ้นอเมริกายังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจและสร้างกำไรให้กับนักลงทุนได้ด้วยการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่องของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น ซึ่งปัจจุบันก็มีช่องทางหลากหลายให้นักลงทุนได้เลือกลงทุนหุ้นอเมริกากันอย่างที่ได้นำมาเล่าถึงในบทความนี้และนักลงทุนสามารถเลือกได้ตามเป้าหมายการลงทุนและข้อจำกัดที่เผชิญ การเลือกหุ้นที่ดีด้วยเครื่องมือและวิธีการที่เหมาะสมจะช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างกำไรบนหุ้นอเมริกาได้อย่างยั่งยืน
ลงทุนหุ้นอเมริกาเสียภาษีอย่างไร
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน