5 อันดับ หนังสือหุ้น แนะนำ ปี 2024 - วิธีเลือก หนังสือหุ้น
5 อันดับหนังสือหุ้นที่นักลงทุนควรอ่านในปี 2024 ที่จะพานักลงทุนมือใหม่เจาะลึกไปกับพื้นฐานการลงทุน ตลอดจนการนำเสนอเทคนิคของการวิเคราะห์หุ้นให้นำมาซึ่งผลกำไรตอบแทน
เพาะหุ้นเป็นเห็นผลยั่งยืน โดย คุณกวี ชูกิจเกษม
ที่มา:NAIIN
- ที่แนะนำ:⭐⭐⭐⭐⭐
- เหตุผลที่แนะนำ: มีวิธีการด้วยวิธีการคิด การเขียน การนำเสนอที่แตกต่าง แต่เข้าใจง่ายและจับต้องได้ สามารถสร้างให้นักลงทุนเรียนรู้และตัดสินใจด้วยตนเองได้ ทำให้อ่านแล้วเข้าใจง่ายภายในเล่มเดียว
- เหมาะสำหรับ: เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น มือใหม่หัดลงทุน และปูพื้นฐานการเรียนรู้ต่อไป
- บทนำหนังสือ: เพาะหุ้นเป็น เห็นผลยั่งยืน หนังสือเล่มนี้ เป็นรูปแบบแนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่า VI (Value Investor) ตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงระดับต่อยอด เช่น ความสามารถในการแข่งขัน การต่อรองกับคู่ค้าเข้ากับปัจจัยเชิงปริมาณ เช่น อัตราของการทำกำไรขั้นต้น ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น ในตอนท้ายของหนังสือนี้จะแสดงเนื้อหาการประเมินค่าหุ้นแบบง่ายโดยใช้ความสัมพันธ์ระหว่าง P/E P/BV และ ROV
- แนะนำตัวละคร: คุณกวี ชูกิจเกษม เป็นนักลงทุนแนวเน้นคุณค่า (VI) และนักวิเคราะห์ที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
คุณกวีได้เขียนหนังสือที่เป็นแนวทางให้กับนักลงทุนหน้าใหม่ให้เข้าใจการลงทุนหุ้นในภาษาที่เข้าใจง่าย 2 เล่ม ด้วยกัน คือ
1.เพาะหุ้นเป็น เห็นผลยั่งยืน (ปัจจุบันพิมพ์ซ้ำครั้งที่ 12)
2.เพาะหุ้นเป็น เห็นผลยั่งยืน ตอนมหัศจรรย์ผลตอบแทน
ทุกคนย่อมรู้จักกันดีในฐานะนักวิเคราะห์ระดับแนวหน้าของไทย แจ้งเกิดในวงการนักวิเคราะห์หุ้น หลังทำงานได้ไม่กี่ปี ได้เข้ารับรางวัลนักกลยุทธ์ยอดเยี่ยมปี 2551 (นักลงทุนรายย่อย) สมาคมนักวิเคราะห์แห่งประเทศไทย
- กรณีการลงทุนแบบคลาสสิก: การลงทุนแบบ Value Investor เน้นปัจจัยพื้นฐานแบบการลงทุนระยะยาวที่มีหลักการวิเคราะห์เลือกหุ้น ที่เน้นลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานดี มีแนวโน้มผลการดำเนินงานในอนาคตที่ดี ราคายังไม่แพง โดยมีหลักการง่าย ๆ คือลงทุนและเน้นเงินปันผล เพราะมีความคิดว่าตราบใดที่บริษัทยังทำกำไร ยังจ่ายปันผล และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนจะมองว่าในอนาคต เดี๋ยวราคาหุ้นก็จะขึ้นมาเอง
บริหารต้นทุนให้ต่ำที่สุด ไม่ได้ให้ซื้อหุ้นเป็นประจำ แต่เลือกซื้อเวลาที่หุ้นถูกจริง ๆ เปลี่ยนความคิดว่าราคาหุ้นจะขึ้นตอนไหน เป็นมุ่งเป้าดูว่าเราควรซื้อเมื่อไหร่ ตอนไหนที่หุ้นราคาถูกจริง ๆ ในรอบ30-40 ปีที่ผ่านมา หุ้นลงกว่า 50% หลายครั้งเมื่อเกิดวิกฤติ
ข้อดี: ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจในวิธีการต่าง ๆ ได้ง่ายดายและชัดเจนมากยิ่งขึ้น ไม่ติดกับดักหุ้นแพง มีการยกตัวอย่างประกอบ หนังสือเล่มนี้สามารถใช้เป็นอาวุธในการลงทุนเพื่อผลลัพธ์ที่งอกเงยได้ เหมือนเป็นหนังสือหุ้นที่สอนให้เราอยู่กับหลักความเป็นจริงของการเล่นหุ้น
ข้อบกพร่อง: เนื้อหาค่อนข้างพื้นฐาน เนื้อหาไม่ครอบคลุม
The Intelligent Investor โดย Warren Buffett
ที่มา:LAZADA
- ที่แนะนำ:⭐⭐⭐⭐
- เหตุผลที่แนะนำ: ในหนังสือนี้มีการอธิบายเนื้อหาโดยละเอียด เป็นลำดับขั้นตอนของการลงทุน ให้นักลงทุนสามารถนำไปปฏิบัติใช้งานได้จริง
- เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีความรู้พื้นฐานด้านการลงทุนหุ้นอยู่พอสมควรแล้วประมาณหนึ่ง
- บทนำหนังสือ: The Intelligent Investor ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ในหนังสือจะกล่าวถึงทัศนคติการลงทุนที่ถูกต้อง กลยุทธ์การลงทุนสำหรับนักลงทุนแต่ละประเภท ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1949 เนื้อหาในหนังสือ The Intelligent Investor จะแบ่งนักลงทุนเป็น 2 ประเภท
1.นักลงทุนเชิงรับ มีความรู้น้อย ไม่ค่อยมีเวลาลงทุน เน้นผลตอบแทนไม่มาก ความเสี่ยงต่ำ
2.นักลงทุนเชิงรุก มีความรู้มาก ทุ่มเทเวลาเพื่อลงทุนให้ได้กำไรมากขึ้น
- แนะนำตัวละคร: ผู้เขียนหนังสือฉบับนี้คือ เบนจามิน เกรแฮม บิดาแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ครอบครัวของเกรแฮมเริ่มมีปัญหาทางด้านการเงินหลังคุณพ่อของเขาเสียชีวิต นั่นทำให้เขามีแรงบันดาลใจตั้งใจเรียนหนังสือ ที่นักลงทุนต่างยอมรับนับถือในทักษะความสามารถด้านการลงทุนในตลาดทุน เป็นต้นแบบให้นักลงทุนหลาย ๆ คนกลายเป็นเศรษฐีหุ้นหน้าใหม่ ๆ และยังเป็นหนังสือที่ Warren Buffett นักลงทุนที่รวยที่สุดในโลก ยกย่องว่าเป็นหนังสือการลงทุนที่ดีที่สุดอีกด้วย
เกรแฮม สามารถทำผลตอบแทนเฉลี่ย 20% ต่อปี ระหว่างปี 1936 – 1956 ในขณะที่ผลตอบแทนของตลาด ณ ตอนนั้นเพียง 12.2% ต่อปี
เป็นผู้คิดค้นหลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่า และนำเสนอทฤษฎีใหม่ ๆ ต่อวงการลงทุนโลก
ผู้เขียนหนังสือ “The Intelligent Investor ” และ “Security Analysis” ซึ่งหนังสือทั้งสองเล่มนี้เป็นยอมรับอย่างมากในวงการลงทุน
- กรณีการลงทุนแบบคลาสสิก: การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (VI) หรือ Value Investors เป็นการลงทุนในระยะยาว กับหุ้นของบริษัทที่เน้นมีมูลค่า มีความปลอดภัยสำหรับการลงทุน สามารถนำไปประยุคใช้ เพื่อประโยชน์ในการลงทุนกับหุ้น หลักการลงทุนของเกรแฮม คือการวิเคราะห์หลักทรัพย์ด้วยเหตุผล แทนการใช้อารมณ์ หลีกเลี่ยงการเก็งกำไร และไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นคนที่ฉลาดทางด้านปัญญา หรือมีการศึกษาสูง นอกจากนี้การลงทุนในแบบของเกรแฮม ยังมีความเสี่ยงต่ำอีกด้วย
ข้อดี: หนังสือเล่มนี้อาจช่วยให้คุณเก่งสมชื่อ (หนังสือลงทุนที่ดีที่สุด) เป็นตัวช่วยเตือนสติเวลาเราอยากลองการลงทุนแบบแปลกใหม่ มีระบบการลงทุนที่ชัดเจนมาก และเป็นมาตรฐานการลงทุนแนวเน้นคุณค่าแบบดั้งเดิมอย่างแท้จริง
ข้อบกพร่อง: เนื่องจากภาษาในเล่มนี้อ่านยากพอสมควร จึงทำให้เราทำความเข้าใจได้ยากขึ้นมากไปอีก ไม่เหมาะกับมือใหม่ที่พึ่งหัดเริ่มลงทุน มีการจัดการเนื้อหาในเล่มไม่เป็นระเบียบ และเป็นหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นเกินกว่า 72 ปี มาแล้ว แนวคิดหลาย ๆ อย่างจึงไม่เหมาะกับการลงทุนหุ้นในปัจจุบัน
ตีแตก กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤต โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ที่มา:NAIIN
- ที่แนะนำ:⭐⭐⭐⭐⭐
- เหตุผลที่แนะนำ: ดร.นิเวศน์ มีการเขียนเนื้อหาของการลงทุนที่แยกออกมาหลากหลายสไตล์ เป็นหนังสือที่อ่านง่ายเหมือนเป็นการเล่าสอนประสบการณ์กับนักลงทุนหน้าใหม่ มีการจำแนกแบ่งเนื้อหาที่ชัดเจนดี
- เหมาะสำหรับ: นักลงทุนหุ้นมือใหม่ทุกคนที่สนใจจะลงทุนในหุ้น เป็นหนังสือเล่มแรก ๆ ที่นักลงทุนพึ่งเริ่มหัดลงทุนควรอ่าน
- บทนำหนังสือ: หนังสือในเล่มนี้ ดร. นิเวศน์ มีการเล่าว่า ก่อนที่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นเราจะต้องศึกษาหรือมีสิ่งที่เราต้องรู้อะไรก่อนบ้าง เวลาที่เกิดวิกฤตในแต่ละครั้ง มักจะมีโอกาสอะไรที่แอบแฝงซ่อนอยู่เสมอ
- แนะนำตัวละคร: ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร มีหนังสือหลายเล่มออกมาเยอะมากให้นักลงทุนได้เก็บความรู้กัน
a.เคล็ดลับเซียนหุ้นพันธุ์แท้
b.เซียนหุ้นมือทอง
c.รวยด้วยหุ้น แบบฉบับ ดร.นิเวศน์
d.รวยหุ้นอย่างพอเพียง
e.เล่นหุ้นในภาวะวิกฤติ
f.ลงทุนหุ้นอย่างสบายใจ
g.เทคนิคพิชิตหุ้น
h.เล่นหุ้นตามเซียน
i.ก้าวเล็กๆ ในตลาดหุ้น ก้าวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต
j.ชนะอย่างเต่า
k.ลงทุนเพื่อชีวิต ด้วยหุ้น
l.ตีแตก: กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤต
m.เล่นหุ้นในปีทองคิดให้ใหญ่ ทำให้ได้: Always Think Big
n.เหนือกว่าวอลสตรีท: One Up On Wall Street
o.แก่นแท้ของบัฟเฟตต์: The Essential Buffett
p.หุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ: Common Stocks & Uncommon Profits & Other Writings
q.Super Stock: มหัศจรรย์ของหุ้น VI
r.ธรรมะกับการลงทุน (รู้เขา รู้เรา เล่นหุ้น 100 ครั้ง ชนะ 70 ครั้ง)
ได้รับการยอมรับเป็นผู้เผยแพร่แนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าคนแรกในประเทศไทย โดยได้เขียนหนังสือชื่อว่า “ตีแตก” ในปี พ.ศ. 2542 ซึ่งกลายมาเป็นคัมภีร์การลงทุนแก่นักลงทุนรุ่นหลัง สร้างแรงบันดาลใจให้คนจำนวนมากเดินสู่ตลาดหุ้นเพื่อแสวงหาความมั่งคั่งให้กับชีวิต หนังสือเล่มนี้แหละที่ทำให้หนังสือของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมาก
- กรณีการลงทุนแบบคลาสสิก: ใช้แนวคิดการลงทุนแบบ VI (Value Investing) หรือการลงทุนแบบเน้นคุณค่าในประเทศไทย นิยามของ ดร. นิเวศน์ คือการซื้อธุรกิจที่ดี อยู่ได้นาน ต้องกระจายความเสี่ยง และปล่อยให้ผู้บริหารเขาบริหารไป นอกจากนี้เงินลงทุนต้องเป็นเงินเย็น ระยะเวลาของการลงทุนยิ่งเริ่มลงทุนเร็วยิ่งดี อย่าลงทุนแล้วเอาเงินออกมาใช้ โดยปกติแล้ว ดร. นิเวศน์ ถือหุ้นเป็น 10 ปี หรือมากกว่านั้น เพราะถ้าธุรกิจยังดีก็ไม่จำเป็นต้องขาย มันคือการลงทุนแบบเจ้าของธุรกิจ
ข้อดี: สามารถใช้หลักการของเนื้อหาในเล่ม เพื่อนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม ค้นหาสไตล์การลงทุนของตัวเอง และตัวอย่างในเล่มเป็นหุ้นไทยทั้งหมด ทำให้เข้าใจได้ง่าย เหมาะกับคนไทย
ข้อบกพร่อง: เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ยังไม่ได้เจาะลึกไปถึงวิธีการเล่นหุ้นจริงจังสักเท่าไหร่ เพราะเนื้อหาในเล่มไม่ได้ลงลึกถึงรายละเอียดมากนัก เพียงแค่ให้เห็นภาพกว้าง ๆ ของการเล่นหุ้นสำหรับคนที่ยังไม่รู้เลยว่าหุ้นคืออะไร คนเล่นหุ้นเขามีวิธีเล่นกันยังไง เนื้อหาในเล่มน้อยไปหน่อย
เหนือกว่าวอลสตรีท(One up on Wall street) โดย Peter Lynch & John Rothchild
ที่มา:SHOPEE
- ที่แนะนำ:⭐⭐⭐⭐
- เหตุผลที่แนะนำ: เนื้อหาในเล่มครอบคลุมการลงทุนในหุ้นแบบครบเกือบทุกด้าน ได้แบ่งหุ้นออกเป็น 6 ประเภทคือ 1. หุ้นโตช้า 2. หุ้นแข็งแกร่ง 3. หุ้นโตเร็ว 4. หุ้นวัฏจักร 5. หุ้นฟื้นตัว และ 6.หุ้นทรัพย์สินมาก เนื้อหาในเล่มเรียบเรียงได้ดี ไม่น่าเบื่อ และไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานทางการเงินมากก็สามารถอ่านทำความเข้าใจเนื้อหาในหนังสือได้
- เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีประสบการณ์ในตลาดหุ้น หรือ ผู้ที่สนใจศึกษาการวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน
- บทนำหนังสือ: สำหรับหนังสือเล่มนี้บอกถึงหลักการคัดเลือกหุ้นตามปัจจัยพื้นฐาน การยอมรับความเสี่ยง วิธีการดูงบการเงิน ตัวเลขที่สำคัญต่าง ๆ และที่สำคัญ Peter Lynch ได้สร้างความแตกต่างจากหนังสือการลงทุนอื่น ๆ ที่ถอดแบบมาจากการลงทุนของ Peter Lynch เองที่เน้นหาหุ้นที่มีศักยภาพสูง เน้นหุ้นที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก
- แนะนำตัวละคร:
Peter Lynch พ่อมดแห่งการบริหารกองทุน เป็นนักลงทุนและผู้จัดการกองทุนรวมชาวอเมริกัน ซึ่งเขาได้ใช้เวลา 13 ปีในการบริหารกองทุน Magellan Fund ให้งอกเงยจาก 18 สู่ 14000 ล้านเหรียญ ถือเป็นหนึ่งนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่รู้จักมากที่สุดตลอดกาล ทำให้ Lynch ได้รับเหรียญเชิดชูเกียรติด้านการเงินจาก Tenbagger อีกด้วย Peter Lynch เชื่อมาตลอดว่ามือใหม่สมัครเล่นก็สามารถประสบความสำเร็จในการลงทุนหุ้นได้
- กรณีการลงทุนแบบคลาสสิก: เลือกใช้วิธีการลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสเติบโตได้หลายครั้ง หรือที่เรียกว่า Tenbagger ซึ่งเป็นกลยุทธ์แบบเดียวกับการเล่นเบสบอล ที่ผู้เล่นจะต้องมีโอกาสในการตีโฮมรันได้ 3 ครั้ง ตลอดการแข่งขัน โดยเริ่มต้นจาก bagger ที่ 4 ซึ่งหมายความว่าหุ้นที่เขาเลือก ต้องมีโอกาสทำกำไร 300% เสมอ
ข้อดี: เป็นหนังสือการลงทุนในหุ้นที่ครอบคลุมทุกแง่มุม อัดแน่นด้วยประสบการณ์ตรงของการลงทุนหุ้นที่หลากหลาย เนื้อหาอ่านเข้าใจค่อนข้างง่าย ไม่ค่อยมีศัพท์ทางเทคนิคมาก อ่านแล้วสนุก
ข้อบกพร่อง: ฉบับแปลไทยสำนวนการแปลไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ บางประโยคอ่านคำแปลแล้วเข้าใจยาก และตัวอย่างในเล่มเป็นหุ้นต่างประเทศทั้งหมด
ศาสตร์แห่งบัฟเฟตต์ Buffettology โดย Mary Buffet & David Clark
ที่มา:NAIIN
- ที่แนะนำ:⭐⭐⭐⭐⭐
- เหตุผลที่แนะนำ: เป็นหนังสือที่เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ อย่างเช่นทักษะการแปรธาตุเงินของบัฟเฟตต์ (ซื้อหุ้นกู้ไปทำนู่นทำนี่ เพราะภาษีถูกกว่า) หรือการเก็งกำไรของบัฟเฟตต์บ้างในบางครั้ง ถ้าใครชอบเรื่องลงทุนหนังสือเล่มนี้ถือเป็นหนังสือที่อ่านสนุกมาก ๆ อีกเล่มนึง
- เหมาะสำหรับ: หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับคนที่เป็นนักลงทุนที่ผ่านการลงทุนมาสักพักหนึ่งแล้ว
- บทนำหนังสือ: เนื้อหาในหนังสือ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ จะเป็นส่วนของการประเมินหุ้นในเชิงคุณภาพ ในส่วนแรกของเนื้อหายังไม่ลึกมาก และเชิงคำนวณส่วนที่สองจะมีเนื้อหาเริ่มลึก เริ่มอ่านยากขึ้น และไม่ใช่แค่แนะนำการลงทุนแบบวอร์เรนเท่านั้นแต่จะพูดถึง บริษัทที่วอร์เรน เคยลงทุนอยู่ด้วย
- แนะนำตัวละคร: Warren Buffett นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเทคนิคลับเฉพาะที่ทำให้เขาเป็นคนที่ติดอันดับร่ำรวยที่สุดในโลก โดยปกติหลักการลงทุนของบัฟเฟตต์จะไม่มีการเปิดเผยที่ไหน ถึงมีก็ไม่ใช่ทั้งหมด วอร์เรนจะสอนการลงทุนให้คนในครอบครัวของเขาเท่านั้น โดยหนังสือเล่มนี้เขียนโดย อดีตลูกสะใภ้ ที่ออกมาเปิดโปงความลับของวอร์เรนว่าลงทุนยังไง
- กรณีการลงทุนแบบคลาสสิก: บัฟเฟตส์ใช้วิธีการลงทุนผ่านมุมมองการร่วมทำธุรกิจ มีหลักการเลือกหุ้นโดยได้รับแนวคิดผสมผสานทั้งจากอาจารย์ของเค้า (Benjamin Graham) และผู้เชี่ยวชาญ การลงทุนท่านอื่นๆ เช่น Charlie Munger รวมไปทั้งผสมผสานจากประสบการณ์ที่ตนเองพบเจอ และการวิเคราะห์หุ้นโดยใช้หลัก DCF (Discount Cash Flow) ด้วย
ข้อดี: มีเนื้อหาที่ไม่ซับซ้อนมาก เรียบเรียงเนื้อหาชัดเจน โดยสมการส่วนใหญ่จะเป็นสมการที่สามารถตีความและทำความเข้าใจได้ง่ายพอสมควร
ข้อบกพร่อง: เนื้อหาในเล่มเหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวเป็นส่วนใหญ่เกือบทั้งเล่ม ระยะยาวที่ว่านี่เป็น สิบ ๆ ปี โดยการลงทุนแต่ละครั้งจำเป็นต้องใช้การวิเคราะห์เป็นอย่างมาก มีปัจจัยเยอะแยะเต็มไปหมด หรือเรียกง่าย ๆ ว่า มีความซับซ้อนอยู่พอตัว
วิธีเลือก หนังสือหุ้น?
ทำไมมือใหม่หัดลงทุนควรอ่านหนังสือ?
นักลงทุนที่มีการเตรียมพร้อมก่อนเข้าสู่ตลาดหุ้น มักจะต้องอ่านหนังสือหุ้นตามแหล่งข้อมูลต่าง ๆ มาพอสมควร เหมือนเป็นเกราะป้องกันขั้นต้น ซึ่งแหล่งข้อมูลความรู้แต่ละที่นั้น จะต้องมีการบอกเล่าเรื่องความผิดพลาดที่นักลงทุนควรหลีกเลี่ยง ยิ่งเราศึกษาข้อมูลมากกว่าคนอื่น ทำให้เราดูเหมือนว่าจะสามารถหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่คนอื่น ๆ เจอมาก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดซ้ำ ๆ ได้อีก
แต่ในทางกลับกันไม่อ่านหนังสือ เราจะลงทุนได้ไหม?
คงจะอยู่ยากสักหน่อยถ้าไม่อ่านอะไรเลย แต่ไม่ใช่ว่าจะเริ่มลงทุนไม่ได้เลย แต่อาจจะเปลี่ยนจากการลงทุนเทรดหุ้น เป็นลงทุนในกองทุนรวมแทน เลือกให้ถูกกองแล้วให้ผู้จัดการกองทุนบริหารไป น่าจะตอบโจทย์ที่สุดสำหรับนักลงทุนที่ไม่ต้องการอ่านหนังสือ แต่สำหรับผู้เขียนแนะนำว่าอยากให้อ่านหนังสือดีกว่า เพราะไม่ว่าจะเลือกลงทุนในรูปแบบไหน ยังไงก็หนีการอ่านหนังสือไม่พ้นอยู่ดี ไม่มีใครรู้ข้อมูลการเทรด เทคนิค กลยุทธ์ มาตั้งแต่ต้นอยู่แล้วถ้าไม่ศึกษาข้อมูลอะไรเลย การอ่านหนังสือหุ้นถือว่าเป็นสาระและทักษะสำคัญมากสำหรับผู้เริ่มต้นเลย
มาถึงวิธีการเลือกหนังสือหุ้นกันบ้าง อยากจะแนะนำให้นักลงทุนหุ้นมือใหม่ เลือกอ่านหนังสือหุ้นที่เป็นของคนไทยเขียนเองมากกว่า จะทำให้นักลงทุนมือใหม่หรือผู้ที่พึ่งเริ่มหัดลงทุนเข้าใจการลงทุนได้ง่ายมากขึ้น จากสำนวนการเขียนและการอธิบายภาษาไทยที่เข้าใจง่าย เพราะส่วนมากถ้าหนังสือเป็นของคนไทยเขียน การยกตัวอย่างของหนังสือในเล่มจะเป็นหุ้นไทย เหมาะสมกับบริบทของคนไทยและตลาดหุ้นไทย มากกว่าหนังสือจากผู้เขียนต่างประเทศแล้วนำมาแปลไทยอีกที เพราะอาจทำให้เนื้อหาผิดเพี้ยนไปบ้าง รวมไปถึงการยกตัวอย่างจะเป็นหุ้นต่างประเทศมากกว่า และอีกอย่างการลงทุนในหุ้นต่างประเทศสำหรับผู้ที่พึ่งเริ่มต้น อาจเป็นเป้าหมายการลงทุนที่ยากไปสักหน่อย แต่ก็สามารถทำได้เช่นกันในอนาคต
วิธีการเอาชนะตลาดหุ้นในระยะยาว
การจับจังหวะ (Market Timing): การเลือกจับจังหวะเข้าซื้อขาย โดยการลงทุนที่ดีก็คือ ซื้อให้ถูกขายให้แพง ใช้ได้ทั้งในระยะยาวและระยะสั้น ทั้งขาขึ้นและขาลงอีกด้วย
การเลือกสินทรัพย์ (Asset Selection): การเลือกสินทรัพย์การลงทุน ถ้าหากเราเลือกสินทรัพย์ แล้วสินทรัพย์การลงทุนไม่มีการปรับตัวขึ้นในระยะยาว การลงทุนนั้นก็จะไม่สร้างผลกำไรให้กับเราหรือในทางทฤษฎีเราจะขาดทุนจากสภาวะเงินเฟ้อด้วย
การจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation): การลงทุนที่ดีต้องมีการกระจายสินทรัพย์อย่างเหมาะสม ไม่ลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง เช่น ตราสารหนี้ หุ้น อสังหาริมทรัพย์ หรือเงินสด ตามสัดส่วนที่ตั้งใจไว้ จะช่วยลดความผันผวนจะทำให้พอร์ตเราเติบโตได้ในระยะยาว
จากหนังสือที่ผู้เขียนแนะนำให้นักลงทุนอ่าน ทั้ง 5 เล่ม ก็สามารถทำให้นักลงทุนสามารถเอาชนะตลาดหุ้นในระยะยาวได้เหมือนกัน คาดว่าไม่มากก็ไม่น้อยเลยแหละ อาจจะเริ่มต้นจากหนังสือ เพาะหุ้นเป็น เห็นผลยั่งยืน ของคุณคุณกวี ชูกิจเกษม ก่อนเพื่อเป็นการปูพื้นฐาน พอเริ่มเข้าใจเรื่องการเทรดหุ้นแล้วค่อยศึกษาเรื่องเทคนิคอื่น ๆ เปลี่ยนหนังสือไปเรื่อย ๆ จะได้รู้สไตล์ของตัวเองด้วยว่าเหมาะสมกับการลงทุนแบบไหน เพราะว่าหนังสือแต่ละเล่ม ก็จะมีการอธิบายเนื้อหาที่แตกต่างกันออกไปด้วย
หลังจากอ่านหนังสือหุ้นแต่ไม่รู้จะลงทุนอย่างไร?
จากประสบการณ์ของผู้เขียนอยากแนะนำผู้ลองลงทุนว่า อาจลองลงทุนจากระดับง่ายไปยังระดับยาก ๆ โดยเริ่มต้นจากการเพิ่มความรู้ใส่สมอง ซื้อหนังสือหุ้นแบบเข้าใจง่ายเอาแค่ปูพื้นฐานเบื้องต้นก่อน และค่อยทดลองเทรดก่อนลงสนามจริง เช่น เริ่มต้นด้วยการลงทุนดัชนีหุ้นภายในประเทศก่อน ศึกษาและลงทุนไปเรื่อย ๆ ค่อยไปศึกษาหุ้นต่างประเทศ
โดยสรุปแล้วการอ่านหนังสือหุ้นเป็นเรื่องที่ดีทำให้ผู้ที่พึ่งเริ่มต้นได้ค้นพบสไตล์การลงทุนของตนเอง ว่าเหมาะแก่การลงทุนแบบไหนให้ได้กำไรสำหรับมือใหม่หัดเทรด ส่วนมากนักลงทุนทุกคนมีวิธีการเรียนรู้และสไตล์การลงทุนเป็นของตัวเองอยู่แล้ว จากที่ได้อ่านและทำความเข้าใจเนื้อหาของหนังสือทั้ง 5 เล่ม ซึ่งสไตล์การลงทุนของแต่ละบุคคลแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง รวมทั้งหลักการคิดวิเคราะห์ที่แตกต่างกันไปอีกด้วย จากที่ผู้เขียนเลือก 5 หนังสือหุ้นที่น่าสนใจมาสรุปเนื้อหาให้นักลงทุนได้อ่านกัน ผู้เขียนหวังว่านักลงทุนจะนำเนื้อหาในบทความไปปรับใช่กับเทคนิคการลงทุนของตนเองกันนะคะ
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน