รายงานการประชุมของ FOMC เอนเอียงไปที่นโยบาย Hawkish, ให้โฟกัสไปที่การประชุมของ Jackson Hole ในสัปดาห์นี้

สัปดาห์ที่แล้ว (8/14-8/18) ตลาดเศรษฐกิจโลกในหลาย ๆ ประเทศชะลอตัวลง ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี S&P 500 ลดลง 2.11% ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลง 2.21% และดัชนี Nasdaq 100 ลดลง 2.22% หุ้นยุโรปปรับตัวลดลงเช่นกัน โดยดัชนี STOXX 600 ในยุโรปร่วงลง 2.34% ในบรรดาหุ้นเอเชีย ดัชนี Hang Seng ในฮ่องกงลดลงสูงสุดที่ 5.89%

ที่มา:MacroMicro

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาเปิดเผยข้อมูลยอดค้าปลีกประจำเดือนกรกฎาคม ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ที่เกินความคาดหมายของตลาดที่ 0.4% ยอดค้าปลีกหลักซึ่งไม่รวมรถยนต์และน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1.0% เทียบกับที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4%

ที่มา:Trading economics

ยอดค้าปลีกคิดเป็นหนึ่งในสามของการใช้จ่ายของผู้บริโภคทั้งหมดโดยประมาณ และมักถูกมองว่าเป็นบารอมิเตอร์ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งในเดือนกรกฎาคมบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจที่เอื้ออำนวยในสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการประกาศข้อมูล ดัชนีหุ้นหลัก 3 ดัชนีของสหรัฐฯ ก็ปรับตัวลดลงโดยทั่วไป โดยดัชนี S&P 500 ปิดตัวลง 1.16% ในวันเดียวกัน

เหตุใดข้อมูลค้าปลีกที่ดีกว่าคาดจึงส่งผลให้ตลาดหุ้นตกต่ำ? สาเหตุก็เป็นเพราะความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่กลับมาอีกครั้ง

การชะลอตัวของตลาดผู้บริโภคในสหรัฐฯ บวกกับราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกรกฎาคม แสดงให้เห็นว่าการบรรจบกันของอัตราเงินเฟ้อในช่วงครึ่งหลังของปีจะถูกจำกัด เป็นที่คาดว่าสภาพแวดล้อมที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงจะยังคงอยู่ ซึ่งอาจส่งผลให้การเริ่มต้นวงจรลดอัตราดอกเบี้ยเลื่อนออกไป

จากข้อมูลของ FedWatch Tool ของ CME Group ความคาดหวังของตลาดสำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมีนาคมปีหน้าได้ลดลง ในขณะที่ความเป็นไปได้ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนพฤษภาคมก็เพิ่มขึ้นอีก

ที่มา: CME

การวิเคราะห์ของ Mitrade ：

ความกังวลของตลาดได้เปลี่ยนจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยไปสู่ภาวะเงินเฟ้อ ส่งผลให้ข้อมูลที่เกินคาดถูกมองว่าเป็นผลลบต่อตลาดหุ้น ปัจจุบันตลาดได้รับอิทธิพลอย่างมากจากความเชื่อมั่น เมื่อตลาดอยู่ในแนวบวก ข้อมูลทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะผลักดันราคาหุ้นให้สูงขึ้น ในขณะที่เมื่อตลาดมีการเฝ้าระมัดระวังหรือแนวลบ ข้อมูลทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะทำให้ราคาหุ้นลดลง และผู้คนมักจะระบุปัจจัยที่เป็นลบจากข้อมูลดังกล่าว

รายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ระบุว่าผู้กำหนดนโยบายส่วนใหญ่เชื่อว่ามีความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะสูงขึ้น และอาจจำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม

เมื่อเทียบกับรายงานการประชุมครั้งก่อน รายงานการประชุมชุดนี้มีแนวโน้มแบบ hawkish มากกว่า จำนวนรายงานที่เอนเอียงไปทางนโยบาย dovish ยังคงเท่าเดิม ในขณะที่รายงานเอนไปทางนโยบาย hawkish สูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคมของปีนี้

“เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมายระยะยาวของคณะกรรมการ และตลาดแรงงานยังคงตึงตัว ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่ยังคงมองเห็นความเสี่ยงที่สูงขึ้นต่ออัตราเงินเฟ้อ ซึ่งอาจต้องมีการเข้มงวดนโยบายการเงินเพิ่มเติม”

นี่เป็นถ้อยคำจริงจังซึ่งไม่ปรากฏในรายงานการประชุมครั้งก่อน สำหรับเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความเสี่ยงที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญต่ออัตราเงินเฟ้อนี้มีแหล่งที่มาหลักสามประการ: 1) ความเสี่ยงของการกระชับหรือการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกอีกครั้ง 2) ความเสี่ยงที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอีกครั้ง และ 3) ความเสี่ยงของ Wage-Price Spiral ภายในประเทศที่อยู่นอกเหนือความควบคุม

ข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุดแสดงให้เห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนกรกฎาคม โดยเพิ่มขึ้น 0.2% แบบเดือนต่อเดือน ซึ่งยุติแนวโน้มขาลงในรอบ 9 เดือนและเริ่มฟื้นตัว การฟื้นตัวนั้นได้รับแรงหนุนจากอาหารและพลังงานเป็นหลัก ในขณะเดียวกัน รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบเป็นรายปีเป็น 4.4% ซึ่งสูงกว่าที่คาดไว้ 4.2% อัตราการเติบโตเดือนต่อเดือนยังคงอยู่ที่ 0.4% ซึ่งเป็นระดับที่ธนาคารกลางสหรัฐไม่ต้องการเห็น

ที่มา:MacroMicro

การวิเคราะห์ของ Mitrade ：

โปรดติดตามการประชุมสัมมนาธนาคารกลางระดับโลกของ Jackson Hole ในสัปดาห์ที่พาวเวลล์จะกล่าวสุนทรพจน์ จุดเน้นของการประชุมมุ่งเน้นไปที่การหารือเกี่ยวกับ "การดำเนินการใดที่จะนำไปใช้ในการประชุมนโยบายของเฟดในเดือนกันยายน" และ "บรรทัดฐานเงินเฟ้อในระยะยาวจะสูงขึ้นหรือไม่" หากคำพูดโน้มไปทาง hawkish ก็อาจกดดันหุ้นสหรัฐฯ อีกครั้ง เราคาดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมอาจมีความจำเป็นเพื่อทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลงตามเป้าหมายของ FOMC

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ล่าสุดประสบปัญหาการลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนี S&P 500 ลดลง 2.11% ในสัปดาห์ที่แล้ว ถือเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกันที่อ่อนตัวลงและเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปีนี้

จากข้อมูลที่เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Michael Burry ผู้เป็นแรงบันดาลใจเบื้องหลังภาพยนตร์เรื่อง "The Big Short" ได้ซื้อput options ผ่านกองทุน Scion ของเขามูลค่ากว่า 1.6 พันล้านดอลลาร์ มูลค่าที่ระบุไว้ของ put options ใน SPDR S&P 500 Index ETF (SPY) สูงถึง 886 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ put options ใน Invesco NASDAQ 100 Index ETF (QQQ) มีมูลค่าสูงถึง 739 ล้านดอลลาร์

หากดัชนี S&P 500 หรือดัชนี NASDAQ 100 ปรับตัวลดลง Michael Burry ก็พร้อมที่จะทำกำไรได้เลย

David Rosenberg ซึ่งเป็นหมีแห่งวอลล์สตรีทชื่อดังอีกคนหนึ่งและเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทวิจัยการลงทุน Rosenberg Research ก็ได้ออกคำเตือนเช่นกัน ในขณะที่นักลงทุนค่อย ๆ ตระหนักว่าความเสี่ยงในตลาดกำลังเพิ่มขึ้น สถานการณ์ตลาดหุ้นสหรัฐฯลดลงอย่างรวดเร็วในปีที่แล้วก็อาจเกิดซ้ำอีก

การวิเคราะห์ของ Mitrade：

ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปีนี้ได้รับแรงผลักดันจากภาคเทคโนโลยีเป็นหลัก และแรงผลักดันในหุ้นเทคโนโลยีส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนจากการมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับโอกาสของในตลาด อย่างไรก็ตาม การมองในแง่ดีนี้ส่งผลต่อราคาในระยะสั้นอย่างมากเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ค่าความเสี่ยงของหุ้นสหรัฐฯ ก็ลดลง และหากไม่มีรายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นก็มีแนวโน้มจะปรับฐานลดลง