ดอลลาร์สหรัฐ (USD) อ่อนค่าลงเล็กน้อยในวันจันทร์ ขณะที่ตลาดเริ่มต้นสัปดาห์ที่ยุ่งเหยิง โดยถูกบดบังด้วยความสงสัยเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ขณะที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ชี้ให้เห็นถึงการเจรจากับพันธมิตรในเอเชียและการ "สนทนาทุกวัน" กับจีน ปักกิ่งยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนร่วมในการเจรจา โดยเน้นย้ำถึงการขาดผู้ชนะในสงครามภาษี สถานการณ์นี้ทำให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) เคลื่อนไหวลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ประมาณ 99.33 ในขณะที่เขียนข่าวนี้
ความหวังว่านโยบายการค้าของสหรัฐฯ อาจลดภาษีทั่วโลกในที่สุดถูกมองว่าเป็นความเข้าใจผิดมากขึ้น นักวิเคราะห์จาก Standard Chartered ระบุว่าความเป็นพหุภาคียังคงอ่อนแอลงภายใต้การบริหารของทรัมป์ โดยองค์การการค้าโลก (WTO) ถูกมองข้าม และข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ต้องเผชิญกับระยะเวลาในการเจรจาที่ยาวนานและไม่แน่นอน นอกจากนี้ ความเสี่ยงของความไม่แน่นอนที่ยืดเยื้ออาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการเติบโตทั่วโลกอย่างหนัก
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันขาลง เคลื่อนไหวอยู่ใกล้ 99.33 หลังจากลดลง 0.25% ในวันนี้ ขณะที่ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI) ที่ 35.28 ยังคงเป็นกลาง อินดิเคเตอร์โมเมนตัม Moving Average Convergence Divergence (MACD) ส่งสัญญาณขาย ยืนยันถึงแนวโน้มขาลงที่อยู่เบื้องหลัง
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นและระยะยาวเสริมแนวโน้มขาลง เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล (EMA) 10 วันที่ 99.80 และเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (SMA) 10 วันที่ 99.43 ส่งสัญญาณขาย ซึ่งสอดคล้องกับ SMA 20, 100 และ 200 วันที่ 101.06, 105.70 และ 104.51 ตามลำดับ
แนวต้านอยู่ที่ 99.43, 99.53 และ 99.80 หาก DXY หลุดต่ำกว่าโซนแนวรับทันทีที่ 99.08 อาจทดสอบระดับต่ำกว่า 98.00 ได้อย่างรวดเร็ว หากไม่มีปัจจัยบวกที่มีความหมาย ความพยายามในการปรับตัวขึ้นอาจเผชิญกับแรงขายที่หนักหน่วงก่อนข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้
ดอลลาร์สหรัฐ (USD) เป็นสกุลเงินที่ใช้อย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกา และเป็นสกุลเงินที่ใช้ 'โดยพฤตินัย' ของประเทศอื่น ๆ จำนวนมากที่มีการหมุนเวียนควบคู่ไปกับสกุลเงินท้องถิ่น เป็นสกุลเงินที่มีการซื้อขายกันมากที่สุดในโลก โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 88% ของมูลค่าการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศทั่วโลก หรือมีมูลค่าธุรกรรมเฉลี่ย 6.6 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวันตามข้อมูลของปี 2022 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สกุลเงิน USD เข้ามารับช่วงต่อตำแหน่งสกุลเงินสำรองของโลกจากสกุลเงินปอนด์ของอังกฤษที่เป็นในประวัติศาสตร์ใหญ่ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้ถูกค้ำด้วยทองคำ จนกระทั่งเกิดข้อตกลง Bretton Woods ในปี 1971 เมื่อมาตรฐานการค้ำด้วยทองคำหมดไป
ปัจจัยเดียวที่สำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐคือนโยบายทางการเงินซึ่งกำหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เฟดมีหน้าที่สองประการ: เพื่อให้บรรลุเสถียรภาพด้านราคา (ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ) และส่งเสริมการจ้างงานเต็มรูปแบบ เครื่องมือหลักในการบรรลุเป้าหมายทั้งสองนี้คือการปรับอัตราดอกเบี้ย เมื่อราคาต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้นเร็วเกินไปและอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟด ทางเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่งจะหนุนค่าเงิน USD แต่เมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลงต่ำกว่า 2% หรืออัตราการว่างงานสูงเกินไป เฟดอาจเลือกปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อสกุลเงินดอลลาร์
ในสถานการณ์ที่รุนแรงมากจริง ๆ ทาง Federal Reserve ยังสามารถพิมพ์ดอลลาร์ออกมาเพิ่มเติมและออกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ได้ การทำ QE เป็นกระบวนการที่เฟดเพิ่มการไหลเวียนของสินเชื่อในระบบการเงินที่ติดขัดอยู่อย่างมาก โดยเป็นมาตรการทางนโยบายที่ไม่ได้เป็นมาตรฐานซึ่งใช้เมื่อสินเชื่อหมดเนื่องจากธนาคารจะไม่ให้กู้ยืมระหว่างกัน (เพราะกลัวคู่สัญญาจะผิดนัดชำระหนี้) ก็เป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อการลดอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวไม่น่าจะบรรลุผลลัพล์ที่จำเป็น ถือเป็นเครื่องทางเลือกสุดท้ายของเฟดในการต่อสู้กับวิกฤติสินเชื่อที่เกิดขึ้นระหว่างวิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่ในปี 2008 โดยเกี่ยวข้องกับการที่เฟดพิมพ์เงินดอลลาร์เพิ่มขึ้นและใช้เงินเหล่านั้นเพื่อซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากสถาบันการเงินต่าง ๆ การทำ QE มักจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง
การกระชับเชิงปริมาณ (QT) เป็นกระบวนการย้อนกลับของการทำ QE โดยที่ Federal Reserve จะหยุดซื้อพันธบัตรจากสถาบันการเงินและไม่นำเงินต้นไปลงทุนใหม่จากพันธบัตรที่ถืออยู่เพื่อซื้อใหม่ ซึ่งมักจะเป็นปัจจัยบวกสำหรับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ