ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) ฟื้นตัวในวันอังคาร เพิ่มขึ้นกว่า 900 จุดหรือ 2.49% ขึ้นเหนือระดับ 39,000 ขณะที่นักลงทุนรอรายงานผลประกอบการของ Tesla (TSLA) ในช่วงท้ายของวัน แม้จะเป็นเช่นนั้น อารมณ์ตลาดยังคงเปราะบางท่ามกลางความกลัวว่าทำเนียบขาวยังคงใช้ถ้อยคำที่รุนแรงเกี่ยวกับประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เจอโรม พาวเวลล์
ความเชื่อมั่นดีขึ้นตามที่แสดงโดยดัชนีหุ้นสหรัฐฯ สองตัวอื่น ๆ ที่ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน S&P 500 และ Nasdaq Composite เพิ่มขึ้น 2.1% และ 2.4% ตามลำดับ คำพูดของทรัมป์ได้แนะนำว่าหากเศรษฐกิจชะลอตัว จะเป็นเพราะเฟดไม่ลดอัตราดอกเบี้ย
Nick Timiraos นักวิเคราะห์เฟดจาก Wall Street Journal (WSJ) เขียนว่า "ประธานาธิบดีทรัมป์ส่งสัญญาณว่าเขาจะตำหนิธนาคารกลางสหรัฐฯ สำหรับความอ่อนแอทางเศรษฐกิจใด ๆ ที่เกิดจากสงครามการค้าของเขาหากธนาคารกลางไม่ลดอัตราดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้"
ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และการคุกคามของวอชิงตันต่อความเป็นอิสระของเฟดทำให้นักลงทุนมองหาความปลอดภัยในสินทรัพย์ปลอดภัย ทองคำแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3,500 ดอลลาร์ ขณะที่ความต้องการดอลลาร์สหรัฐได้รับผลกระทบ เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐแตะระดับต่ำสุดในรอบสามปีต่ำกว่า 98.00 ในวันจันทร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ซึ่งติดตามผลการดำเนินงานของดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินหกสกุล ฟื้นตัวขึ้นบางส่วน โดยอยู่ที่ 98.56 เพิ่มขึ้น 0.25% หลังจากแตะระดับต่ำสุดที่ 97.92
ณ ขณะนี้ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สกอตต์ เบสเซนต์ มองเห็นการลดความตึงเครียดกับจีนและสถานการณ์ที่ไม่ยั่งยืน ตามที่ Bloomberg เปิดเผย
ในขณะเดียวกัน ข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่านักเทรดกำลังคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด 91 จุดเบสิสในช่วงปลายปี 2025
แนวโน้มขาลงของ DJIA ยังคงมีอยู่ แต่เทรดเดอร์ได้ซื้อจุดต่ำและดันดัชนีผ่าน 39,200 ตามคำพูดของเบสเซนต์ หากผู้ซื้ออยากเห็น 40,000 พวกเขาต้องเคลียร์ 39,500 ก่อน
ในทางกลับกัน หมีต้องลากดัชนีลงต่ำกว่า 39,000 เพื่อให้เกิดการต่อเนื่องขาลง ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ราคาต่ำลง แนวรับถัดไปจะอยู่ที่ 38,500 ตามด้วย 38,000 ก่อนที่จะทดสอบระดับต่ำสุดในปีนี้ (YTD) ที่ 36,614 ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 เมษายน
ดาวโจนส์ (DJIA) คือมาตรวัดคาเฉลี่ยของบริษัทในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในดัชนีตลาดหุ้นที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ดาวโจนส์รวบรวมจากหุ้นที่มีการซื้อขายมากที่สุด 30 อันดับในสหรัฐฯ และจะถ่วงน้ำหนักด้วยการเคลื่อนไหวของราคามากกว่าถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตามราคาตลาด คำนวณโดยการรวมราคาของหุ้นที่เป็นส่วนประกอบแล้วหารด้วยตัวคูณซึ่งปัจจุบันคือ 0.152 ดัชนีนี้ก่อตั้งโดย ชาร์ลส ดาว (Charles Dow) ผู้ก่อตั้ง วารสารวอลล์สตรีท (Wall Street Journal) ในช่วงหลายปีต่อมา มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าดาวโจนส์ไม่ได้เป็นตัวแทนของสินทรัพย์ในวงกว้างเพียงพอ เนื่องจากอ้างอิงการเคลื่อนของกลุ่มบริษัทเพียง 30 กลุ่มเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากดัชนีอ้างอิงข้อมูลจากบริษัทที่มีจำนวนมากกว่าอย่างเช่น S&P 500
ปัจจัยที่แตกต่างกันมากมายผลักดันการเคลื่อนไหวของค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) ประสิทธิภาพโดยรวมของบริษัท, รายละเอียดที่เปิดเผยในรายงานผลประกอบการของบริษัทรายไตรมาสถือเป็นมาตรวัดประสิทธิภาพหลัก ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกยังมีส่วนช่วยเช่นกัน เนื่องจากส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ระดับของอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังมีอิทธิพลต่อ DJIA เนื่องจากส่งผลต่อต้นทุนสินเชื่อ ซึ่งหลายๆ บริษัทต้องพึ่งพาอย่างมาก ดังนั้น อัตราเงินเฟ้ออาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญได้เช่นเดียวกับตัวชี้วัดอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
ทฤษฎีดาวเป็นวิธีการในการระบุแนวโน้มหลักของตลาดหุ้นที่พัฒนาโดย ชาร์ลส ดาว (Charles Dow) ขั้นตอนสำคัญคือการเปรียบเทียบทิศทางของค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) และ ค่าเฉลี่ยการขนส่งดาวโจนส์ (DJTA) และติดตามเฉพาะแนวโน้มที่ทั้งคู่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน ,uปริมาณเป็นเกณฑ์ยืนยัน ทฤษฎีนี้ใช้องค์ประกอบของการวิเคราะห์จุดสูงสุดและต่ำสุด ทฤษฎีของดาวโจนส์ (Dow) แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะสะสม เมื่อนักลงทุนเริ่มซื้อขายปลกเปลี่ยน ระยะการมีส่วนร่วมของประชาชน เมื่อประชาชนในวงกว้างเข้ามามีส่วนร่วมลงทุน และระยะกระจายตัวเมื่อเงินเงินของนักลงทุนออกจากตลาดไป
มีหลายวิธีในการลงทุนกับ DJIA หนึ่งคือการลงทุนผ่าน ETF ซึ่งอนุญาตให้นักลงทุนซื้อขาย DJIA เป็นหลักทรัพย์เดียว แทนที่จะต้องซื้อหุ้นในบริษัทที่เป็นส่วนประกอบทั้งหมด 30 แห่ง ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ กองทุน SPDR , ETF ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DIA) สัญญาซื้อขายล่วงหน้าของ DJIA ช่วยให้นักลงทุนสามารถเก็งกำไรมูลค่าในอนาคตของดัชนีแลออปชัน แต่ไม่ใช่ข้อผูกมัดในการซื้อหรือขายดัชนีในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าในอนาคต กองทุนรวมช่วยให้นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นในพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายของหุ้น DJIA ซึ่งทำให้เกิดโอกาสการลงทุนในดัชนี