ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ซึ่งวัดมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐ (USD) เทียบกับตะกร้าสกุลเงิน กำลังปรับตัวสูงขึ้นในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากความไม่แน่นอนทางภูมิศาสตร์การเมือง แม้จะมีการถอยตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลและการยืนยันเส้นทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สำหรับปี 2025 แต่เงินดอลลาร์ยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดัชนีกำลังพยายามที่จะทะลุระดับต่ำสุดในเดือนมีนาคมเป็นวันที่สามติดต่อกัน
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐกำลังแสดงสัญญาณการฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดในเดือนมีนาคม โดยได้รับการสนับสนุนจากการไหลเข้าของเงินทุนที่มีความระมัดระวังและแนวทางที่มั่นคงจากเฟด ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI) กำลังค่อยๆ ขึ้นสูงขึ้น ขณะที่ฮิสโตแกรมการรวมกันของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (MACD) แสดงให้เห็นถึงโมเมนตัมขาลงที่ลดลง
แนวต้านทันทีอยู่ที่ประมาณ 104.20 ตามด้วย 104.80 และ 105.20 ขณะที่ 103.40 เป็นแนวรับใกล้เคียง ก่อนที่จะถึง 102.90 การตัดกันขาลงระหว่างเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย 20 วันและ 100 วันใกล้ 105.00 ทำหน้าที่เป็นสัญญาณขายทางเทคนิคที่อาจเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ด้วยความรู้สึกที่เริ่มมีเสถียรภาพ ดัชนีดูเหมือนจะพร้อมที่จะฟื้นตัวต่อจากฐานในเดือนมีนาคม
ดอลลาร์สหรัฐ (USD) เป็นสกุลเงินที่ใช้อย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกา และเป็นสกุลเงินที่ใช้ 'โดยพฤตินัย' ของประเทศอื่น ๆ จำนวนมากที่มีการหมุนเวียนควบคู่ไปกับสกุลเงินท้องถิ่น เป็นสกุลเงินที่มีการซื้อขายกันมากที่สุดในโลก โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 88% ของมูลค่าการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศทั่วโลก หรือมีมูลค่าธุรกรรมเฉลี่ย 6.6 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวันตามข้อมูลของปี 2022 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สกุลเงิน USD เข้ามารับช่วงต่อตำแหน่งสกุลเงินสำรองของโลกจากสกุลเงินปอนด์ของอังกฤษที่เป็นในประวัติศาสตร์ใหญ่ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้ถูกค้ำด้วยทองคำ จนกระทั่งเกิดข้อตกลง Bretton Woods ในปี 1971 เมื่อมาตรฐานการค้ำด้วยทองคำหมดไป
ปัจจัยเดียวที่สำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐคือนโยบายทางการเงินซึ่งกำหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เฟดมีหน้าที่สองประการ: เพื่อให้บรรลุเสถียรภาพด้านราคา (ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ) และส่งเสริมการจ้างงานเต็มรูปแบบ เครื่องมือหลักในการบรรลุเป้าหมายทั้งสองนี้คือการปรับอัตราดอกเบี้ย เมื่อราคาต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้นเร็วเกินไปและอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟด ทางเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่งจะหนุนค่าเงิน USD แต่เมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลงต่ำกว่า 2% หรืออัตราการว่างงานสูงเกินไป เฟดอาจเลือกปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อสกุลเงินดอลลาร์
ในสถานการณ์ที่รุนแรงมากจริง ๆ ทาง Federal Reserve ยังสามารถพิมพ์ดอลลาร์ออกมาเพิ่มเติมและออกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ได้ การทำ QE เป็นกระบวนการที่เฟดเพิ่มการไหลเวียนของสินเชื่อในระบบการเงินที่ติดขัดอยู่อย่างมาก โดยเป็นมาตรการทางนโยบายที่ไม่ได้เป็นมาตรฐานซึ่งใช้เมื่อสินเชื่อหมดเนื่องจากธนาคารจะไม่ให้กู้ยืมระหว่างกัน (เพราะกลัวคู่สัญญาจะผิดนัดชำระหนี้) ก็เป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อการลดอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวไม่น่าจะบรรลุผลลัพล์ที่จำเป็น ถือเป็นเครื่องทางเลือกสุดท้ายของเฟดในการต่อสู้กับวิกฤติสินเชื่อที่เกิดขึ้นระหว่างวิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่ในปี 2008 โดยเกี่ยวข้องกับการที่เฟดพิมพ์เงินดอลลาร์เพิ่มขึ้นและใช้เงินเหล่านั้นเพื่อซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากสถาบันการเงินต่าง ๆ การทำ QE มักจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง
การกระชับเชิงปริมาณ (QT) เป็นกระบวนการย้อนกลับของการทำ QE โดยที่ Federal Reserve จะหยุดซื้อพันธบัตรจากสถาบันการเงินและไม่นำเงินต้นไปลงทุนใหม่จากพันธบัตรที่ถืออยู่เพื่อซื้อใหม่ ซึ่งมักจะเป็นปัจจัยบวกสำหรับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ