ดอลลาร์สหรัฐ (USD) ยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันในวันจันทร์ โดย DXY เคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 103.95 พยายามหาจุดยืนหลังจากการลดลงอย่างรุนแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมา คำกล่าวล่าสุดของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เจอโรม พาวเวลล์ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ได้สร้างความมั่นใจให้กับตลาดว่าธนาคารกลางไม่เห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับนโยบายในขณะนี้ แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกัน Nasdaq กำลังเผชิญกับการขาดทุนในตลาดอย่างหนัก ลดลง 3.3% ขณะที่นักลงทุนยังคงระมัดระวังก่อนข้อมูลเงินเฟ้อที่สำคัญของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในกลางสัปดาห์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) มีเสถียรภาพต่ำกว่า 104.00 โดยรวมตัวหลังจากการลดลงอย่างรุนแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมา เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (SMA) 20 วันและ 100 วันยืนยันการตัดกันขาลงใกล้ 107.00 ซึ่งเสริมสร้างแนวโน้มเชิงลบ ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI) ยังคงอยู่ใกล้เขตขายเกิน ส่งสัญญาณถึงโอกาสในการฟื้นตัวในระยะสั้น ในขณะเดียวกัน เส้นอินดิเคเตอร์ Moving Average Convergence Divergence (MACD) ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาลง แสดงถึงความเสี่ยงด้านลบเพิ่มเติม เว้นแต่ผู้ซื้อจะเข้ามาใกล้ระดับแนวรับ หาก DXY ไม่สามารถกลับมาเหนือ 104.50 ได้ แนวรับถัดไปจะอยู่ใกล้ 103.30 ซึ่งอาจกำหนดว่าการลดลงที่ลึกกว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่
อัตราเงินเฟ้อวัดการเพิ่มขึ้นของราคาในตะกร้าสินค้าและบริการที่ใช้อ้างอิง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมักแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงแบบเทียบเดือนต่อเดือน (MoM) และแบบปีต่อปี (YoY) อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะไม่รวมองค์ประกอบที่มีความผันผวนสูงเช่น อาหารและเชื้อเพลิง ปัจจัยเหล่านี้อาจผันผวนเพราะสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นตัวเลขที่นักเศรษฐศาสตร์ให้ความสำคัญและเป็นตัวเลขที่ธนาคารกลางใช้อ้างอิงในการกำหนดเป้าหมาย ธนาคารกลางฯ นิยมคงอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ โดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 2%
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) จะวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาตะกร้าสินค้าและบริการในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยปกติ CPI จะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงแบบเดือนต่อเดือน (MoM) และแบบปีต่อปี (YoY) CPI หลักคือตัวเลขที่ธนาคารกลางใช้กำหนดราคาเป้าหมาย เพราะ CPI ทั่วไปไม่รวมปัจจัยเช่นการผลิตอาหารและเชื้อเพลิงที่มีความผันผวน ดังนั้น เมื่อ CPI พื้นฐานเพิ่มขึ้นมากกว่า 2% จึงมักจะส่งผลให้ธนาคารกลางปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อ CPI ลดลงต่ำกว่า 2% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง จึงเป็นผลดีต่อสกุลเงิน อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นมักส่งผลให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้น และตรงกันข้าม สกุลเงินจะอ่อนค่าเมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลง
แม้ว่าอาจดูเหมือนขัดกับภาพความเป็นจริงที่เห็น แต่อัตราเงินเฟ้อในประเทศที่สูงจะผลักดันมูลค่าของสกุลเงินของประเทศนั้นๆ ให้สูงขึ้นเพราะการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งดึงดูดเงินจากนักลงทุนทั่วโลกให้ไหลเข้าประเทศ เพราะพวกเขากำลังมองหาสถานที่ที่มีกำไรจากการฝากเงินของพวกเขา
ในอดีต ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนหันไปพึ่งพาในช่วงเวลาที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง เนื่องจากทองคำยังคงรักษามูลค่าไว้ได้ นอกจากนี้ ในช่วงเวลาที่ตลาดปั่นป่วนอย่างรุนแรง นักลงทุนมักจะซื้อทองคำด้วยสถานะการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ในปัจจุบันมักไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อเมื่ออัตราเงินเฟ้อสูง ธนาคารกลางต่างๆ มักจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจึงไม่เป็นผลดีต่อทองคำ เนื่องจากทำให้ต้นทุนโอกาสในการถือครองทองคำลดลงเพราะเป็นสินทรัพย์ที่ดอกเบี้ยไม่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการนำเงินไปฝากในบัญชีเงินสด ในทางกลับกัน อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงมีแนวโน้มที่จะส่งผลบวกต่อทองคำ เพราะจะทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลง ทำให้โลหะมีค่าเป็นทางเลือกการลงทุนที่มีโอกาสมากขึ้น