ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ซึ่งติดตามมูลค่าของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุล สร้างฐานต่อเนื่องที่ระดับ 109.00 ในวันศุกร์ แม้ว่าการวางออเดอร์จะถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย หลังจากการเคลื่อนไหวที่สำคัญเมื่อต้นสัปดาห์นี้จากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ สำหรับเดือนธันวาคม ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ได้เติมเชื้อไฟเพิ่มเติมในวันพฤหัสบดี โดยกล่าวว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมีนาคมยังคงเหมาะสม เทรดเดอร์ยังคงสับสนก่อนการเข้ารับตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ในวันจันทร์
ปฏิทินเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ค่อนข้างเบาบาง โดยมีข้อมูลที่อยู่อาศัยสำหรับเดือนธันวาคมอยู่ในวาระ คาดว่าเทรดเดอร์จะปรับฐานตำแหน่งของตนก่อนวันจันทร์ เมื่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปิดทำการเนื่องในวันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) กำลังเผชิญกับแรงกดดัน และผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ได้ส่งหมัดน็อคที่เป็นไปได้ให้กับดอลลาร์สหรัฐในขณะนี้ การเรียกร้องที่กล้าหาญของวอลเลอร์สำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมีนาคมทำให้เทรดเดอร์ประหลาดใจและไม่ได้ถูกคาดการณ์ไว้ในตลาด ตลาดที่ผิดพลาดอาจเกิดขึ้นได้ในขณะนี้ เนื่องจากเฟดควรจะพึ่งพาข้อมูล ซึ่งอาจทำให้ตลาดวางออเดอร์ผิดพลาดเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์เริ่มดำเนินนโยบายของเขา
ในด้านขาขึ้น ระดับจิตวิทยาที่ 110.00 ยังคงเป็นแนวต้านสำคัญที่ต้องเอาชนะ ขึ้นไปอีก ระดับขาขึ้นถัดไปที่ต้องตีให้ได้ก่อนที่จะก้าวไปข้างหน้าคือ 110.79 เมื่อผ่านระดับนี้ไปแล้ว จะเป็นการยืดไปถึง 113.91 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดสองครั้งจากเดือนตุลาคม 2022
ในด้านขาลง DXY กำลังทดสอบเส้นแนวโน้มขาขึ้นจากเดือนธันวาคม 2023 ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 108.95 เป็นแนวรับใกล้เคียง ในกรณีที่มีการปรับตัวลงต่อไป แนวรับถัดไปคือ 107.35 ลงไปอีก ระดับถัดไปที่อาจหยุดแรงขายคือ 106.52 โดยมีแนวรับชั่วคราวที่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (SMA) 55 วันที่ 107.19
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ: กราฟรายวัน
ดอลลาร์สหรัฐ (USD) เป็นสกุลเงินที่ใช้อย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกา และเป็นสกุลเงินที่ใช้ 'โดยพฤตินัย' ของประเทศอื่น ๆ จำนวนมากที่มีการหมุนเวียนควบคู่ไปกับสกุลเงินท้องถิ่น เป็นสกุลเงินที่มีการซื้อขายกันมากที่สุดในโลก โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 88% ของมูลค่าการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศทั่วโลก หรือมีมูลค่าธุรกรรมเฉลี่ย 6.6 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวันตามข้อมูลของปี 2022 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สกุลเงิน USD เข้ามารับช่วงต่อตำแหน่งสกุลเงินสำรองของโลกจากสกุลเงินปอนด์ของอังกฤษที่เป็นในประวัติศาสตร์ใหญ่ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้ถูกค้ำด้วยทองคำ จนกระทั่งเกิดข้อตกลง Bretton Woods ในปี 1971 เมื่อมาตรฐานการค้ำด้วยทองคำหมดไป
ปัจจัยเดียวที่สำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐคือนโยบายทางการเงินซึ่งกำหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เฟดมีหน้าที่สองประการ: เพื่อให้บรรลุเสถียรภาพด้านราคา (ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ) และส่งเสริมการจ้างงานเต็มรูปแบบ เครื่องมือหลักในการบรรลุเป้าหมายทั้งสองนี้คือการปรับอัตราดอกเบี้ย เมื่อราคาต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้นเร็วเกินไปและอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟด ทางเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่งจะหนุนค่าเงิน USD แต่เมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลงต่ำกว่า 2% หรืออัตราการว่างงานสูงเกินไป เฟดอาจเลือกปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อสกุลเงินดอลลาร์
ในสถานการณ์ที่รุนแรงมากจริง ๆ ทาง Federal Reserve ยังสามารถพิมพ์ดอลลาร์ออกมาเพิ่มเติมและออกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ได้ การทำ QE เป็นกระบวนการที่เฟดเพิ่มการไหลเวียนของสินเชื่อในระบบการเงินที่ติดขัดอยู่อย่างมาก โดยเป็นมาตรการทางนโยบายที่ไม่ได้เป็นมาตรฐานซึ่งใช้เมื่อสินเชื่อหมดเนื่องจากธนาคารจะไม่ให้กู้ยืมระหว่างกัน (เพราะกลัวคู่สัญญาจะผิดนัดชำระหนี้) ก็เป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อการลดอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวไม่น่าจะบรรลุผลลัพล์ที่จำเป็น ถือเป็นเครื่องทางเลือกสุดท้ายของเฟดในการต่อสู้กับวิกฤติสินเชื่อที่เกิดขึ้นระหว่างวิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่ในปี 2008 โดยเกี่ยวข้องกับการที่เฟดพิมพ์เงินดอลลาร์เพิ่มขึ้นและใช้เงินเหล่านั้นเพื่อซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากสถาบันการเงินต่าง ๆ การทำ QE มักจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง
การกระชับเชิงปริมาณ (QT) เป็นกระบวนการย้อนกลับของการทำ QE โดยที่ Federal Reserve จะหยุดซื้อพันธบัตรจากสถาบันการเงินและไม่นำเงินต้นไปลงทุนใหม่จากพันธบัตรที่ถืออยู่เพื่อซื้อใหม่ ซึ่งมักจะเป็นปัจจัยบวกสำหรับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ