ราคาโลหะเงิน (XAG/USD) เพิ่มขึ้นเกือบ 2.4% ใกล้ $30.30 ในช่วงเวลาการซื้อขายในอเมริกาเหนือเมื่อวันจันทร์ โลหะสีขาวดีดตัวกลับอย่างแข็งแกร่งหลังจากการลดลงอย่างรุนแรงในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ เนื่องจากนักเทรดเริ่มมั่นใจมากขึ้นว่าเฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิถุนายน
ตามเครื่องมือ CME FedWatch นักเทรดได้ลดการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายนลงอย่างสิ้นเชิง
นักเทรดได้เพิ่มการคาดการณ์ที่เป็นมิตรต่อเฟด เนื่องจากประธานเฟดเจอโรม พาวเวลได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้กำหนดภาษีตอบโต้กับประเทศคู่ค้า
“เรากำลังเผชิญกับแนวโน้มที่ไม่แน่นอนอย่างมาก โดยมีความเสี่ยงที่สูงขึ้นทั้งในเรื่องการว่างงานและเงินเฟ้อ” พาวเวลกล่าวเมื่อวันศุกร์
อย่างไรก็ตาม ความต้องการในอุตสาหกรรมของโลหะเงินได้ชะลอตัวลง เนื่องจากภาษีของทรัมป์ได้สร้างความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจีน ซึ่งถูกกำหนดภาษีสูงถึง 54%
โลหะเงินมีการใช้งานในหลายอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) อิเล็กทรอนิกส์ และพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากจีนเป็นศูนย์กลางการผลิตของโลก การกำหนดภาษีที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต ซึ่งในที่สุดจะกระทบต่อความต้องการโลหะเงิน
ในทางทฤษฎี ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้นจะเพิ่มความน่าสนใจของโลหะมีค่า เช่น โลหะเงิน แต่ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวในความต้องการในอุตสาหกรรมกลับส่งผลกดดันต่อราคา
ราคาโลหะเงินฟื้นตัวเพื่อทดสอบพื้นที่การหลุดออกของรูปแบบกราฟสามเหลี่ยมขาขึ้นใกล้ขอบที่ลาดขึ้นรอบจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ $26.45 แนวต้านแนวนอนของรูปแบบกราฟที่กล่าวถึงข้างต้นถูกวางจากจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 22 ตุลาคมที่ $34.87
ในทางเทคนิค การหลุดออกจากรูปแบบสามเหลี่ยมขาขึ้นบ่งชี้ว่ามีการขยายความผันผวน ซึ่งนำไปสู่ปริมาณการซื้อขายที่สูงขึ้นและการสร้างการเคลื่อนไหวที่กว้างขึ้น
ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI) 14 วันดีดตัวขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่อยู่ในภาวะขายมากเกินไปที่ประมาณ 27.00 ซึ่งบ่งชี้ว่าการฟื้นตัวนี้อาจเป็นเพียงชั่วคราว และนักลงทุนควรเตรียมพร้อมสำหรับความอ่อนแอเพิ่มเติม
เมื่อมองลงไป จุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ $26.45 จะทำหน้าที่เป็นแนวรับสำคัญสำหรับราคาโลหะเงิน ขณะที่จุดสูงสุดเมื่อวันที่ 4 เมษายนที่ $32.00 จะเป็นอุปสรรคหลัก
แร่เงินเป็นโลหะมีค่าที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนอย่างมากในหมู่นักลงทุน ในอดีต โลหะเงินถูกใช้เป็นสินทรัพย์สะสมมูลค่าและเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แม้ว่าจะได้รับความนิยมน้อยกว่าทองคํา แต่นักลงทุนอาจหันไปใช้โลหะเงินเพื่อกระจายพอร์ตการลงทุนของตนเพื่อสะสมมูลค่า หรือเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง นักลงทุนสามารถซื้อโลหะเงินจริงในรูปแบบของเหรียญ ในรูปแบบของแท่งหรือซื้อขายผ่านตัวกลางเช่น Exchange Traded Funds ซึ่งอ้างอิงราคาโลหะเงินในตลาดต่างประเทศ
ราคาโลหะเงินสามารถเคลื่อนไหวได้จากปัจจัยหลายประการ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์หรือความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงอาจทําให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นจากสถานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าจะได้รับความสนใจน้อยกว่าทองคําก็ตาม ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน โลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง การเคลื่อนไหวของโลหะเงินยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของดอลลาร์สหรัฐ (USD) เพราะสินทรัพย์โลหะเงินซื้อขายด้วยราคาเป็นดอลลาร์ (XAGUSD) ดอลลาร์ที่แข็งค่ามีแนวโน้มที่จะรักษาราคาโลหะเงินไว้ แต่หากดอลลาร์อ่อนค่าลง มีแนวโน้มที่จะผลักดันราคาโลหะเงินให้สูงขึ้น ปัจจัยอื่นๆ เช่น อุปสงค์การลงทุน อุปทานการขุด (โลหะเงินมีมากกว่าทองคํามาก) และอัตราการนำกลับมาใช้ก็อาจส่งผลต่อราคาโลหะเงินได้เช่นกัน
โลหะเงินมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์หรือพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากโลหะเงินสามารถนําไฟฟ้าได้สูงที่สุดชนิดหนึ่งเมื่อเทียบกับโลหะทั้งหมด มากกว่าทองแดงและทองคํา ความต้องการโลหะที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นได้ การเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จีน และอินเดียยังสามารถส่งผลต่อการแกว่งตัวของราคาโลหะเงิน ในสหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของพวกเขาใช้โลหะเงินในกระบวนการต่างๆ ในอินเดีย ความต้องการโลหะมีค่าของผู้บริโภคเพื่อเอาไปสร้างเครื่องประดับก็มีบทบาทสําคัญในการกําหนดราคาโลหะเงินเช่นกัน
ราคาโลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวตามราคาทองคํา เมื่อราคาทองคําสูงขึ้น โลหะเงินมักจะเคลื่อนไหวามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม สถานะของสินทรัพย์ทั้งสองไม่ได้อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความคล้ายคลึงกัน อัตราส่วนเปรียบเทียบทองคําและโลหะเงินจะให้ข้อมูลของจํานวนออนซ์ของโลหะเงินที่จําเป็นเพื่อให้เท่ากับมูลค่าของทองคําหนึ่งออนซ์ อัตราส่วนเปรียบทียบนี้อาจช่วยในการกําหนดการประเมินมูลค่าสัมพัทธ์ระหว่างโลหะทั้งสอง นักลงทุนบางคนอาจพิจารณาว่าหากอัตราส่วนนี้สูง จะหมายความว่าโลหะเงินมีมูลค่าต่ำเกินไป หรือทองคํามีมูลค่าสูงเกินไป ในทางตรงกันข้าม อัตราส่วนที่ต่ำอาจบ่งบอกว่าทองคํามีมูลค่าต่ำกินไปเมื่อเทียบกับโลหะเงิน