ราคาเงิน (XAG/USD) ทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบห้าเดือนใกล้ $34.60 ในช่วงเวลาการซื้อขายในอเมริกาเหนือเมื่อวันศุกร์ โลหะสีขาวแข็งค่าขึ้นเมื่อผู้ลงทุนเริ่มระมัดระวังตัวก่อนวันที่ 2 เมษายน ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ มีกำหนดจะเปิดเผยภาษีตอบโต้
ผู้เข้าร่วมตลาดคาดว่าภาษีของทรัมป์จะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวและเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในระยะสั้น สถานการณ์เช่นนี้ทำให้สินทรัพย์ปลอดภัย เช่น เงิน มีความน่าสนใจมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์สหรัฐ (USD) ร่วงลงเนื่องจากภาษีของทรัมป์จะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐฯ นักลงทุนคาดหวังถึงผลกระทบที่ภาษีจะมีต่อการนำเข้าสหรัฐฯ ซึ่งจะต้องส่งต่อไปยังผู้บริโภค ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ซึ่งติดตามมูลค่าของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุล ร่วงลงใกล้ 104.00
ในขณะเดียวกัน ข้อมูลเงินเฟ้อ PCE พื้นฐานของสหรัฐฯ ที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ – ซึ่งไม่รวมรายการอาหารและพลังงานที่ผันผวน – ไม่สามารถสนับสนุนดอลลาร์สหรัฐได้ ข้อมูลเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 2.8% เมื่อเทียบกับการประมาณการที่ 2.7% และการประกาศก่อนหน้านี้ที่ 2.6% ข้อมูลเงินเฟ้อ PCE พื้นฐานเดือนต่อเดือนเติบโตขึ้น 0.4% ซึ่งเร็วกว่าความคาดหวังและการประกาศก่อนหน้านี้ที่ 0.3%
แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นบังคับให้ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ต้องรักษานโยบายการเงินที่เข้มงวดไว้นานขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจาก Fed ส่งผลกระทบเชิงลบต่อสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน เช่น เงิน
ราคาเงินเคลื่อนตัวไปยังขอบแบนของรูปแบบกราฟ Ascending Triangle บนกรอบเวลาแบบรายวันใกล้กับจุดสูงสุดของวันที่ 22 ตุลาคมที่ $34.87 ขอบที่ลาดขึ้นของรูปแบบกราฟที่กล่าวถึงข้างต้นตั้งอยู่จากจุดต่ำสุดของวันที่ 8 สิงหาคมที่ $26.45 ทางเทคนิค รูปแบบ Ascending Triangle แสดงถึงความไม่แน่ใจในหมู่ผู้เข้าร่วมตลาด
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล (EMA) 20 วันใกล้ $33.30 ยังคงให้การสนับสนุนราคาเงิน
ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI) 14 วันดีดตัวขึ้นเหนือ 60.00 แสดงถึงการฟื้นตัวของโมเมนตัมขาขึ้น
มองไปข้างล่าง จุดสูงสุดของวันที่ 6 มีนาคมที่ $32.77 จะทำหน้าที่เป็นแนวรับสำคัญสำหรับราคาเงิน ขณะที่จุดสูงสุดของวันที่ 22 ตุลาคมที่ $34.87 จะเป็นอุปสรรคหลัก
แร่เงินเป็นโลหะมีค่าที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนอย่างมากในหมู่นักลงทุน ในอดีต โลหะเงินถูกใช้เป็นสินทรัพย์สะสมมูลค่าและเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แม้ว่าจะได้รับความนิยมน้อยกว่าทองคํา แต่นักลงทุนอาจหันไปใช้โลหะเงินเพื่อกระจายพอร์ตการลงทุนของตนเพื่อสะสมมูลค่า หรือเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง นักลงทุนสามารถซื้อโลหะเงินจริงในรูปแบบของเหรียญ ในรูปแบบของแท่งหรือซื้อขายผ่านตัวกลางเช่น Exchange Traded Funds ซึ่งอ้างอิงราคาโลหะเงินในตลาดต่างประเทศ
ราคาโลหะเงินสามารถเคลื่อนไหวได้จากปัจจัยหลายประการ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์หรือความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงอาจทําให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นจากสถานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าจะได้รับความสนใจน้อยกว่าทองคําก็ตาม ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน โลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง การเคลื่อนไหวของโลหะเงินยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของดอลลาร์สหรัฐ (USD) เพราะสินทรัพย์โลหะเงินซื้อขายด้วยราคาเป็นดอลลาร์ (XAGUSD) ดอลลาร์ที่แข็งค่ามีแนวโน้มที่จะรักษาราคาโลหะเงินไว้ แต่หากดอลลาร์อ่อนค่าลง มีแนวโน้มที่จะผลักดันราคาโลหะเงินให้สูงขึ้น ปัจจัยอื่นๆ เช่น อุปสงค์การลงทุน อุปทานการขุด (โลหะเงินมีมากกว่าทองคํามาก) และอัตราการนำกลับมาใช้ก็อาจส่งผลต่อราคาโลหะเงินได้เช่นกัน
โลหะเงินมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์หรือพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากโลหะเงินสามารถนําไฟฟ้าได้สูงที่สุดชนิดหนึ่งเมื่อเทียบกับโลหะทั้งหมด มากกว่าทองแดงและทองคํา ความต้องการโลหะที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นได้ การเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จีน และอินเดียยังสามารถส่งผลต่อการแกว่งตัวของราคาโลหะเงิน ในสหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของพวกเขาใช้โลหะเงินในกระบวนการต่างๆ ในอินเดีย ความต้องการโลหะมีค่าของผู้บริโภคเพื่อเอาไปสร้างเครื่องประดับก็มีบทบาทสําคัญในการกําหนดราคาโลหะเงินเช่นกัน
ราคาโลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวตามราคาทองคํา เมื่อราคาทองคําสูงขึ้น โลหะเงินมักจะเคลื่อนไหวามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม สถานะของสินทรัพย์ทั้งสองไม่ได้อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความคล้ายคลึงกัน อัตราส่วนเปรียบเทียบทองคําและโลหะเงินจะให้ข้อมูลของจํานวนออนซ์ของโลหะเงินที่จําเป็นเพื่อให้เท่ากับมูลค่าของทองคําหนึ่งออนซ์ อัตราส่วนเปรียบทียบนี้อาจช่วยในการกําหนดการประเมินมูลค่าสัมพัทธ์ระหว่างโลหะทั้งสอง นักลงทุนบางคนอาจพิจารณาว่าหากอัตราส่วนนี้สูง จะหมายความว่าโลหะเงินมีมูลค่าต่ำเกินไป หรือทองคํามีมูลค่าสูงเกินไป ในทางตรงกันข้าม อัตราส่วนที่ต่ำอาจบ่งบอกว่าทองคํามีมูลค่าต่ำกินไปเมื่อเทียบกับโลหะเงิน