ราคาโลหะเงิน (XAG/USD) ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ประมาณ $33.80 หลังจากแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2024 ในช่วงเวลาการซื้อขายของเอเชียในวันจันทร์ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงขาลงสำหรับโลหะสีขาวดูเหมือนจะจำกัดเนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเกี่ยวกับผลกระทบจากสงครามการค้าโลกและค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง
สงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และคู่ค้าการค้าที่ใหญ่ที่สุดหลายประเทศได้สร้างความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งอาจส่งผลดีต่อสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นโลหะเงิน สัปดาห์ที่แล้ว ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขู่ที่จะเรียกเก็บภาษี 200% สำหรับแอลกอฮอล์ที่นำเข้าจากสหภาพยุโรป (EU) และได้เพิ่มภาษีสำหรับการนำเข้าสินค้าจากจีนเข้าสหรัฐฯ เป็นอย่างน้อย 20%
นอกจากนี้ การขาดแคลนซัพพลายและความต้องการในอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นอาจทำหน้าที่เป็นแรงหนุนที่แข็งแกร่งสำหรับโลหะสีขาว ตามข้อมูลจากบริษัทการลงทุนระดับโลก WisdomTree นักลงทุนถือครองโลหะเงินในสัดส่วนที่สำคัญและคาดหวังว่าราคาจะสูงขึ้นเพื่อกระตุ้นการขาย ความต้องการในอุตสาหกรรมสำหรับโลหะเงินได้แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากการใช้งานในด้านพลังงานแสงอาทิตย์ เทคโนโลยี 5G และอิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์
เทรดเดอร์โลหะเงินจะจับตาดูรายงานยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ สำหรับเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งคาดว่าจะเติบโต 0.7% MoM หากผลลัพธ์ออกมาแข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้ อาจส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) แข็งค่าขึ้นและกดดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีการซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์ในระยะสั้น
แร่เงินเป็นโลหะมีค่าที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนอย่างมากในหมู่นักลงทุน ในอดีต โลหะเงินถูกใช้เป็นสินทรัพย์สะสมมูลค่าและเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แม้ว่าจะได้รับความนิยมน้อยกว่าทองคํา แต่นักลงทุนอาจหันไปใช้โลหะเงินเพื่อกระจายพอร์ตการลงทุนของตนเพื่อสะสมมูลค่า หรือเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง นักลงทุนสามารถซื้อโลหะเงินจริงในรูปแบบของเหรียญ ในรูปแบบของแท่งหรือซื้อขายผ่านตัวกลางเช่น Exchange Traded Funds ซึ่งอ้างอิงราคาโลหะเงินในตลาดต่างประเทศ
ราคาโลหะเงินสามารถเคลื่อนไหวได้จากปัจจัยหลายประการ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์หรือความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงอาจทําให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นจากสถานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าจะได้รับความสนใจน้อยกว่าทองคําก็ตาม ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน โลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง การเคลื่อนไหวของโลหะเงินยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของดอลลาร์สหรัฐ (USD) เพราะสินทรัพย์โลหะเงินซื้อขายด้วยราคาเป็นดอลลาร์ (XAGUSD) ดอลลาร์ที่แข็งค่ามีแนวโน้มที่จะรักษาราคาโลหะเงินไว้ แต่หากดอลลาร์อ่อนค่าลง มีแนวโน้มที่จะผลักดันราคาโลหะเงินให้สูงขึ้น ปัจจัยอื่นๆ เช่น อุปสงค์การลงทุน อุปทานการขุด (โลหะเงินมีมากกว่าทองคํามาก) และอัตราการนำกลับมาใช้ก็อาจส่งผลต่อราคาโลหะเงินได้เช่นกัน
โลหะเงินมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์หรือพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากโลหะเงินสามารถนําไฟฟ้าได้สูงที่สุดชนิดหนึ่งเมื่อเทียบกับโลหะทั้งหมด มากกว่าทองแดงและทองคํา ความต้องการโลหะที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นได้ การเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จีน และอินเดียยังสามารถส่งผลต่อการแกว่งตัวของราคาโลหะเงิน ในสหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของพวกเขาใช้โลหะเงินในกระบวนการต่างๆ ในอินเดีย ความต้องการโลหะมีค่าของผู้บริโภคเพื่อเอาไปสร้างเครื่องประดับก็มีบทบาทสําคัญในการกําหนดราคาโลหะเงินเช่นกัน
ราคาโลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวตามราคาทองคํา เมื่อราคาทองคําสูงขึ้น โลหะเงินมักจะเคลื่อนไหวามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม สถานะของสินทรัพย์ทั้งสองไม่ได้อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความคล้ายคลึงกัน อัตราส่วนเปรียบเทียบทองคําและโลหะเงินจะให้ข้อมูลของจํานวนออนซ์ของโลหะเงินที่จําเป็นเพื่อให้เท่ากับมูลค่าของทองคําหนึ่งออนซ์ อัตราส่วนเปรียบทียบนี้อาจช่วยในการกําหนดการประเมินมูลค่าสัมพัทธ์ระหว่างโลหะทั้งสอง นักลงทุนบางคนอาจพิจารณาว่าหากอัตราส่วนนี้สูง จะหมายความว่าโลหะเงินมีมูลค่าต่ำเกินไป หรือทองคํามีมูลค่าสูงเกินไป ในทางตรงกันข้าม อัตราส่วนที่ต่ำอาจบ่งบอกว่าทองคํามีมูลค่าต่ำกินไปเมื่อเทียบกับโลหะเงิน