WTI ยังคงแข็งแกร่งอยู่ที่ประมาณ $67.50 เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนและความตึงเครียดในตะวันออกกลาง
- WTI ปรับตัวขึ้นเมื่อจีนเปิดเผยมาตรการใหม่เพื่อกระตุ้นการบริโภค
- ฮูธีส์รับผิดชอบในการโจมตีเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Harry S. Truman
- ราคาน้ำมันได้รับแรงสนับสนุนท่ามกลางความหวังที่ลดน้อยลงสำหรับการแก้ไขปัญหาสงครามยูเครนอย่างรวดเร็ว.
ราคาน้ำมัน West Texas Intermediate (WTI) ขยายการชนะเป็นวันที่สองติดต่อกัน โดยซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 67.40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงเวลาตลาดเอเชียในวันจันทร์ การปรับตัวขึ้นเกิดขึ้นเมื่อราคาน้ำมันดิบแข็งค่าขึ้นหลังจากที่จีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก ประกาศมาตรการใหม่เพื่อกระตุ้นการบริโภค.
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ปักกิ่งได้ประกาศโครงการพิเศษที่มุ่งหวังจะฟื้นฟูการบริโภคภายในประเทศ แผนดังกล่าวรวมถึงการเพิ่มค่าแรง, สิ่งจูงใจเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของครัวเรือน, และความพยายามในการสร้างเสถียรภาพตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์.
ราคาน้ำมันยังได้รับการสนับสนุนจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง ซึ่งทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการหยุดชะงักของอุปทาน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ฮูธีส์ได้อ้างความรับผิดชอบในการโจมตีที่เกี่ยวข้องกับขีปนาวุธพิสัยไกลและขีปนาวุธนำวิถี 18 ลูก รวมถึงโดรน ที่โจมตีเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Harry S. Truman และเรือรบที่คุ้มกันในทะเลแดงตอนเหนือ.
ในขณะเดียวกัน เลขาธิการกลาโหมสหรัฐฯ ลอยด์ ออสติน ยืนยันว่าประเทศสหรัฐอเมริกาจะยังคงมุ่งเป้าไปที่ฮูธีส์ในเยเมนจนกว่าพวกเขาจะหยุดการโจมตีการขนส่ง กลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านได้สาบานว่าจะเพิ่มการตอบโต้ในตอบสนองต่อการโจมตีของสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นล่าสุด.
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบยังได้รับการสนับสนุนจากความหวังที่ลดน้อยลงสำหรับการแก้ไขปัญหาสงครามในยูเครนอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของการจัดหาพลังงานจากรัสเซียไปยังตลาดตะวันตก อย่างไรก็ตาม การหารือเกี่ยวกับการหยุดยิงที่อาจเกิดขึ้นอาจเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ เนื่องจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน คาดว่าจะมีการเจรจา.
สตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนของทรัมป์ กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่าเขาคาดว่าผู้นำทั้งสองจะพูดคุยกัน โดยเสริมว่าปูติน "ยอมรับปรัชญา" ของข้อเสนอการหยุดยิงของทรัมป์ ตามรายงานของ *The Guardian* สัปดาห์ที่แล้ว สหรัฐฯ และยูเครนได้เสนอการหยุดยิงเป็นเวลา 30 วันให้กับรัสเซีย โดยปูตินรายงานว่าแสดงการสนับสนุนต่อข้อเสนอดังกล่าว.
WTI Oil FAQs
น้ำมัน WTI เป็นน้ำมันดิบประเภทหนึ่งที่จําหน่ายในตลาดต่างประเทศ WTI ย่อมาจากเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต (West Texas Intermediate) ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำมันสามประเภทหลัก ได้แก่ Brent และ Dubai Crude และ WTI น้ำมันดิบ WTI เรียกอีกอย่างว่าน้ำมัน "เบา" และน้ำมัน "หวาน" เนื่องจากมีน้ำหนักและปริมาณกํามะถันค่อนข้างต่ำ ตามลําดับแล้ว WTI ถือเป็นน้ำมันคุณภาพสูงที่กลั่นได้ง่าย มีแหล่งที่มาในสหรัฐอเมริกาและจัดจําหน่ายผ่านศูนย์กลาง Cushing ซึ่งถือเป็น "เส้นทางเดินน้ำมันหลักของโลก" เป็นเกณฑ์มาตรฐานสําหรับตลาดน้ำมันและราคาของน้ำมัน WTI มักถูกอ้างอิงในสื่อต่างๆ
เช่นเดียวกับสินทรัพย์ทั้งหมด อุปสงค์และอุปทานเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของราคาน้ำมัน WTI ด้วยเหตุนี้ การเติบโตทั่วโลกจึงเป็นตัวขับเคลื่อนอุปสงค์น้ำมันให้เพิ่มขึ้น และในทางกลับกัน เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่อ่อนแอ มีความไม่มั่นคงทางการเมือง สงคราม และการคว่ำบาตรต่างๆ ปัจจัยเหล่านี้อาจสามารถกดดันอุปทาน และส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน นอกจากนี้ การตัดสินใจของกลุ่มโอเปก ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ เป็นอีกหนึ่งตัวขับเคลื่อนราคาที่สําคัญ และมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐก็มีอิทธิพลต่อราคาน้ำมันดิบ WTI เนื่องจากเป็นน้ำมันที่มีการซื้อขายด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ก็อาจทําให้น้ำมันมีราคาถูกลงมากขึ้น และในทางกลับกันด้วยเช่นกัน
รายงานน้ำมันคงคลังรายสัปดาห์ที่ประกาศโดยสถานบันปิโตรเลียมของอเมริกา หรือ American Petroleum Institute (API) และสำนักงานข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานหรือ Energy Information Agency (EIA) ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่เปลี่ยนแปลงไปสะท้อนให้เห็นภาพอุปสงค์/อุปทานที่ผันผวน หากข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าน้ำมันดิบคงคลังลดลง อาจหมายความว่าอุปสงค์น้ำมันเพิ่มขึ้น และผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น การที่ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสูงขึ้นสามารถสะท้อนให้เห็นอุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของ API จะประกาศทุกวันอังคารและของ EIA จะประกาศในถัดไป ตัวเลขจากรายงานเหล่านี้มักจะคล้ายกัน อาจจะมีความแตกต่างกันเพียง 1% (มีโอกาสราว ๆ 75%) ข้อมูลจาก EIA ถือว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่าเนื่องจากเป็นหน่วยงานของรัฐ
OPEC (หรือองค์การบริหารน้ำมันปิโตรเลียมของประเทศกลุ่มผู้ส่งออก - Organization of the Petroleum Exporting Countries) เป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน 12 ประเทศที่ร่วมกันกําหนดโควตาการผลิตน้ำมันสําหรับประเทศสมาชิก มีการประชุมปีละสองครั้ง การตัดสินใจขององค์กรนี้มักส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI เมื่อโอเปกตัดสินใจลดโควตาการผลิต นั่นอาจทําให้อุปทานน้ำมันตึงตัว ผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น แต่เมื่อโอเปกเพิ่มการผลิต ก็จะมีผลตรงกันข้าม OPEC+ หมายถึงกลุ่มประเทศสมาชิกนอกจากโอเปกดั้งเดิมเพิ่มอีกสิบประเทศ โดยประเทศที่มีอิทธิพลที่สุดก็คือรัสเซีย
<
บทความแนะนำ
