ราคาโลหะเงิน (XAG/USD) สูญเสียโมเมนตัมลงมาใกล้ 33.80 ดอลลาร์ในช่วงเช้าของตลาดลงทุนเอเชียวันศุกร์ อย่างไรก็ตาม การปรับตัวลดลงของโลหะเงินอาจถูกจำกัด เนื่องจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อของผู้บริโภคและผู้ผลิตในสหรัฐฯ ที่อ่อนตัวลงอาจเปิดทางให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมกำหนดนโยบายในเดือนมิถุนายน ซึ่งช่วยสนับสนุนโลหะเงิน
นอกจากนี้ ความกลัวว่าการคุ้มครองจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ จะผลักดันให้สหรัฐฯ ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย อาจมีส่วนช่วยให้โลหะเงินปรับตัวขึ้น
ตามกราฟ 4 ชั่วโมง แนวโน้มเชิงบวกของราคาโลหะเงินยังคงมีอยู่ เนื่องจากโลหะเงินยังคงอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล (EMA) 100 รอบ นอกจากนี้ ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI) ยืนอยู่เหนือเส้นกลางใกล้ 67.00 ซึ่งบ่งชี้ถึงโมเมนตัมขาขึ้น สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการปรับตัวขึ้นเพิ่มเติมดูเหมือนจะเป็นไปได้สำหรับ XAG/USD
ระดับแนวต้านที่สำคัญสำหรับโลหะเงินอยู่ที่บริเวณ 34.00-34.10 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับจิตวิทยาและขอบด้านบนของ Bollinger Band การทะลุระดับนี้อย่างเด็ดขาดอาจทำให้เกิดการวิ่งขึ้นไปที่ 34.55 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดประจำสัปดาห์ของวันที่ 28 ตุลาคม และต่อไปที่ 34.87 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดประจำสัปดาห์ของวันที่ 21 ตุลาคม
ในทางกลับกัน ระดับแนวรับแรกอยู่ที่ 32.94 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของวันที่ 13 มีนาคม การทะลุระดับนี้อาจเปิดทางให้ไปที่ 32.41 ดอลลาร์ ซึ่งเป็น EMA 100 รอบ การขายต่อเนื่องต่ำกว่าระดับที่กล่าวถึงอาจทำให้ราคาลดลงไปใกล้ 32.00 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นขอบล่างของ Bollinger Band และตัวเลขกลม
แร่เงินเป็นโลหะมีค่าที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนอย่างมากในหมู่นักลงทุน ในอดีต โลหะเงินถูกใช้เป็นสินทรัพย์สะสมมูลค่าและเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แม้ว่าจะได้รับความนิยมน้อยกว่าทองคํา แต่นักลงทุนอาจหันไปใช้โลหะเงินเพื่อกระจายพอร์ตการลงทุนของตนเพื่อสะสมมูลค่า หรือเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง นักลงทุนสามารถซื้อโลหะเงินจริงในรูปแบบของเหรียญ ในรูปแบบของแท่งหรือซื้อขายผ่านตัวกลางเช่น Exchange Traded Funds ซึ่งอ้างอิงราคาโลหะเงินในตลาดต่างประเทศ
ราคาโลหะเงินสามารถเคลื่อนไหวได้จากปัจจัยหลายประการ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์หรือความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงอาจทําให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นจากสถานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าจะได้รับความสนใจน้อยกว่าทองคําก็ตาม ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน โลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง การเคลื่อนไหวของโลหะเงินยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของดอลลาร์สหรัฐ (USD) เพราะสินทรัพย์โลหะเงินซื้อขายด้วยราคาเป็นดอลลาร์ (XAGUSD) ดอลลาร์ที่แข็งค่ามีแนวโน้มที่จะรักษาราคาโลหะเงินไว้ แต่หากดอลลาร์อ่อนค่าลง มีแนวโน้มที่จะผลักดันราคาโลหะเงินให้สูงขึ้น ปัจจัยอื่นๆ เช่น อุปสงค์การลงทุน อุปทานการขุด (โลหะเงินมีมากกว่าทองคํามาก) และอัตราการนำกลับมาใช้ก็อาจส่งผลต่อราคาโลหะเงินได้เช่นกัน
โลหะเงินมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์หรือพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากโลหะเงินสามารถนําไฟฟ้าได้สูงที่สุดชนิดหนึ่งเมื่อเทียบกับโลหะทั้งหมด มากกว่าทองแดงและทองคํา ความต้องการโลหะที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นได้ การเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จีน และอินเดียยังสามารถส่งผลต่อการแกว่งตัวของราคาโลหะเงิน ในสหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของพวกเขาใช้โลหะเงินในกระบวนการต่างๆ ในอินเดีย ความต้องการโลหะมีค่าของผู้บริโภคเพื่อเอาไปสร้างเครื่องประดับก็มีบทบาทสําคัญในการกําหนดราคาโลหะเงินเช่นกัน
ราคาโลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวตามราคาทองคํา เมื่อราคาทองคําสูงขึ้น โลหะเงินมักจะเคลื่อนไหวามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม สถานะของสินทรัพย์ทั้งสองไม่ได้อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความคล้ายคลึงกัน อัตราส่วนเปรียบเทียบทองคําและโลหะเงินจะให้ข้อมูลของจํานวนออนซ์ของโลหะเงินที่จําเป็นเพื่อให้เท่ากับมูลค่าของทองคําหนึ่งออนซ์ อัตราส่วนเปรียบทียบนี้อาจช่วยในการกําหนดการประเมินมูลค่าสัมพัทธ์ระหว่างโลหะทั้งสอง นักลงทุนบางคนอาจพิจารณาว่าหากอัตราส่วนนี้สูง จะหมายความว่าโลหะเงินมีมูลค่าต่ำเกินไป หรือทองคํามีมูลค่าสูงเกินไป ในทางตรงกันข้าม อัตราส่วนที่ต่ำอาจบ่งบอกว่าทองคํามีมูลค่าต่ำกินไปเมื่อเทียบกับโลหะเงิน