ราคาโลหะเงิน (XAG/USD) ปรับตัวลดลงหลังจากที่มีการบันทึกกำไรในเซสชันก่อนหน้า โดยซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 32.80 ดอลลาร์ในช่วงชั่วโมงการลงทุนเอเชียของวันพุธ การวิเคราะห์ทางเทคนิคในกราฟรายวันบ่งชี้ว่าแนวโน้มขาขึ้นเริ่มอ่อนตัวลง โดยโลหะเงินยังคงอยู่ต่ำกว่ารูปแบบกรอบราคาขาขึ้น
อย่างไรก็ตาม ราคาโลหะเงินยังคงอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล (EMA) เก้าวันและ 50 วัน ซึ่งสัญญาณว่าโมเมนตัมระยะสั้นมีความแข็งแกร่งและมีการเคลื่อนไหวขึ้นต่อไป นอกจากนี้ ดัชนี Relative Strength Index (RSI) 14 วันยังอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งเสริมสร้างแนวโน้มขาขึ้น
ในด้านบวก แนวต้านหลักปรากฏที่ระดับสูงสุดในรอบสี่เดือนที่ 33.40 ดอลลาร์ ซึ่งบันทึกไว้เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งสอดคล้องกับขอบล่างของกรอบราคาขาขึ้น การกลับเข้าสู่กรอบราคาขาขึ้นอย่างสำเร็จจะเสริมสร้างมุมมองขาขึ้นและผลักดันราคาโลหะไปยังขอบบนของกรอบที่ระดับ 35.10 ดอลลาร์
ในด้านลบ คู่ XAG/USD อาจพบแนวรับแรกที่เส้น EMA เก้าวันที่ 32.41 ดอลลาร์ ตามด้วยเส้น EMA 50 วันที่ระดับ 31.65 ดอลลาร์ การทะลุระดับนี้อาจทำให้โมเมนตัมราคาทั้งในระยะสั้นและกลางอ่อนตัวลง ส่งผลให้ราคาโลหะเงินมุ่งหน้าไปยังระดับต่ำสุดในรอบสองเดือนที่ 30.70 ดอลลาร์ ซึ่งบันทึกไว้เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์
แร่เงินเป็นโลหะมีค่าที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนอย่างมากในหมู่นักลงทุน ในอดีต โลหะเงินถูกใช้เป็นสินทรัพย์สะสมมูลค่าและเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แม้ว่าจะได้รับความนิยมน้อยกว่าทองคํา แต่นักลงทุนอาจหันไปใช้โลหะเงินเพื่อกระจายพอร์ตการลงทุนของตนเพื่อสะสมมูลค่า หรือเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง นักลงทุนสามารถซื้อโลหะเงินจริงในรูปแบบของเหรียญ ในรูปแบบของแท่งหรือซื้อขายผ่านตัวกลางเช่น Exchange Traded Funds ซึ่งอ้างอิงราคาโลหะเงินในตลาดต่างประเทศ
ราคาโลหะเงินสามารถเคลื่อนไหวได้จากปัจจัยหลายประการ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์หรือความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงอาจทําให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นจากสถานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าจะได้รับความสนใจน้อยกว่าทองคําก็ตาม ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน โลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง การเคลื่อนไหวของโลหะเงินยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของดอลลาร์สหรัฐ (USD) เพราะสินทรัพย์โลหะเงินซื้อขายด้วยราคาเป็นดอลลาร์ (XAGUSD) ดอลลาร์ที่แข็งค่ามีแนวโน้มที่จะรักษาราคาโลหะเงินไว้ แต่หากดอลลาร์อ่อนค่าลง มีแนวโน้มที่จะผลักดันราคาโลหะเงินให้สูงขึ้น ปัจจัยอื่นๆ เช่น อุปสงค์การลงทุน อุปทานการขุด (โลหะเงินมีมากกว่าทองคํามาก) และอัตราการนำกลับมาใช้ก็อาจส่งผลต่อราคาโลหะเงินได้เช่นกัน
โลหะเงินมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์หรือพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากโลหะเงินสามารถนําไฟฟ้าได้สูงที่สุดชนิดหนึ่งเมื่อเทียบกับโลหะทั้งหมด มากกว่าทองแดงและทองคํา ความต้องการโลหะที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นได้ การเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จีน และอินเดียยังสามารถส่งผลต่อการแกว่งตัวของราคาโลหะเงิน ในสหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของพวกเขาใช้โลหะเงินในกระบวนการต่างๆ ในอินเดีย ความต้องการโลหะมีค่าของผู้บริโภคเพื่อเอาไปสร้างเครื่องประดับก็มีบทบาทสําคัญในการกําหนดราคาโลหะเงินเช่นกัน
ราคาโลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวตามราคาทองคํา เมื่อราคาทองคําสูงขึ้น โลหะเงินมักจะเคลื่อนไหวามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม สถานะของสินทรัพย์ทั้งสองไม่ได้อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความคล้ายคลึงกัน อัตราส่วนเปรียบเทียบทองคําและโลหะเงินจะให้ข้อมูลของจํานวนออนซ์ของโลหะเงินที่จําเป็นเพื่อให้เท่ากับมูลค่าของทองคําหนึ่งออนซ์ อัตราส่วนเปรียบทียบนี้อาจช่วยในการกําหนดการประเมินมูลค่าสัมพัทธ์ระหว่างโลหะทั้งสอง นักลงทุนบางคนอาจพิจารณาว่าหากอัตราส่วนนี้สูง จะหมายความว่าโลหะเงินมีมูลค่าต่ำเกินไป หรือทองคํามีมูลค่าสูงเกินไป ในทางตรงกันข้าม อัตราส่วนที่ต่ำอาจบ่งบอกว่าทองคํามีมูลค่าต่ำกินไปเมื่อเทียบกับโลหะเงิน