ราคาโลหะเงิน (XAG/USD) พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วใกล้ระดับ $32.50 ในช่วงตลาดยุโรปวันอังคาร โลหะเงินแข็งค่าขึ้นเมื่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) เผชิญกับการเทขายอย่างรุนแรง ขณะที่นักลงทุนเริ่มระมัดระวังเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาจากนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ซึ่งติดตามมูลค่าของเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุล ร่วงลงใกล้ 103.35 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงทำให้โลหะมีค่า เช่น โลหะเงิน มีความน่าสนใจมากขึ้นสำหรับนักลงทุน
นักลงทุนกังวลว่านโยบายภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์จะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว ในวันศุกร์ที่ผ่านมา ทรัมป์กล่าวว่า "มีช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงเพราะสิ่งที่เรากำลังทำมีขนาดใหญ่มาก" โดยทั่วไปแล้ว ช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงมักส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในระยะสั้น สัญญาณของความตึงเครียดทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นช่วยเพิ่มความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น โลหะเงิน
ในขณะเดียวกัน นักลงทุนรอข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งจะประกาศในวันพุธนี้ นักลงทุนจะให้ความสนใจกับข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐ เนื่องจากจะมีอิทธิพลต่อการคาดการณ์ในตลาดเกี่ยวกับแนวโน้มของนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดว่าข้อมูล CPI ของสหรัฐจะเติบโตในอัตราที่ช้าลง สัญญาณของการชะลอตัวในแรงกดดันเงินเฟ้อจะเพิ่มความคาดหวังในตลาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพฤษภาคม ความน่าจะเป็นที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นเป็น 51% จาก 37% เมื่อวันก่อน ตามข้อมูลจากเครื่องมือ CME FedWatch สถานการณ์ของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงเป็นข่าวดีสำหรับสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน เช่น โลหะเงิน
ราคาโลหะเงินพยายามที่จะกลับไปทดสอบแนวต้านสำคัญที่ $33.40 ซึ่งวางจากระดับสูงสุดเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล (EMA) 20 วันใกล้ $32.07 ยังคงสนับสนุนราคาโลหะเงิน
ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI) 14 วันเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 40.00-60.00 ซึ่งบ่งชี้ถึงแนวโน้มไซด์เวย์
มองไปข้างล่าง เส้นแนวโน้มที่มีแนวโน้มขึ้นจากระดับต่ำสุดเมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ $26.45 จะทำหน้าที่เป็นแนวรับสำคัญสำหรับราคาโลหะเงินที่ประมาณ $30.00 ขณะที่ระดับสูงสุดเมื่อวันที่ 22 ตุลาคมที่ $34.87 จะเป็นอุปสรรคสำคัญ
แร่เงินเป็นโลหะมีค่าที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนอย่างมากในหมู่นักลงทุน ในอดีต โลหะเงินถูกใช้เป็นสินทรัพย์สะสมมูลค่าและเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แม้ว่าจะได้รับความนิยมน้อยกว่าทองคํา แต่นักลงทุนอาจหันไปใช้โลหะเงินเพื่อกระจายพอร์ตการลงทุนของตนเพื่อสะสมมูลค่า หรือเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง นักลงทุนสามารถซื้อโลหะเงินจริงในรูปแบบของเหรียญ ในรูปแบบของแท่งหรือซื้อขายผ่านตัวกลางเช่น Exchange Traded Funds ซึ่งอ้างอิงราคาโลหะเงินในตลาดต่างประเทศ
ราคาโลหะเงินสามารถเคลื่อนไหวได้จากปัจจัยหลายประการ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์หรือความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงอาจทําให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นจากสถานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าจะได้รับความสนใจน้อยกว่าทองคําก็ตาม ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน โลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง การเคลื่อนไหวของโลหะเงินยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของดอลลาร์สหรัฐ (USD) เพราะสินทรัพย์โลหะเงินซื้อขายด้วยราคาเป็นดอลลาร์ (XAGUSD) ดอลลาร์ที่แข็งค่ามีแนวโน้มที่จะรักษาราคาโลหะเงินไว้ แต่หากดอลลาร์อ่อนค่าลง มีแนวโน้มที่จะผลักดันราคาโลหะเงินให้สูงขึ้น ปัจจัยอื่นๆ เช่น อุปสงค์การลงทุน อุปทานการขุด (โลหะเงินมีมากกว่าทองคํามาก) และอัตราการนำกลับมาใช้ก็อาจส่งผลต่อราคาโลหะเงินได้เช่นกัน
โลหะเงินมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์หรือพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากโลหะเงินสามารถนําไฟฟ้าได้สูงที่สุดชนิดหนึ่งเมื่อเทียบกับโลหะทั้งหมด มากกว่าทองแดงและทองคํา ความต้องการโลหะที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นได้ การเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จีน และอินเดียยังสามารถส่งผลต่อการแกว่งตัวของราคาโลหะเงิน ในสหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของพวกเขาใช้โลหะเงินในกระบวนการต่างๆ ในอินเดีย ความต้องการโลหะมีค่าของผู้บริโภคเพื่อเอาไปสร้างเครื่องประดับก็มีบทบาทสําคัญในการกําหนดราคาโลหะเงินเช่นกัน
ราคาโลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวตามราคาทองคํา เมื่อราคาทองคําสูงขึ้น โลหะเงินมักจะเคลื่อนไหวามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม สถานะของสินทรัพย์ทั้งสองไม่ได้อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความคล้ายคลึงกัน อัตราส่วนเปรียบเทียบทองคําและโลหะเงินจะให้ข้อมูลของจํานวนออนซ์ของโลหะเงินที่จําเป็นเพื่อให้เท่ากับมูลค่าของทองคําหนึ่งออนซ์ อัตราส่วนเปรียบทียบนี้อาจช่วยในการกําหนดการประเมินมูลค่าสัมพัทธ์ระหว่างโลหะทั้งสอง นักลงทุนบางคนอาจพิจารณาว่าหากอัตราส่วนนี้สูง จะหมายความว่าโลหะเงินมีมูลค่าต่ำเกินไป หรือทองคํามีมูลค่าสูงเกินไป ในทางตรงกันข้าม อัตราส่วนที่ต่ำอาจบ่งบอกว่าทองคํามีมูลค่าต่ำกินไปเมื่อเทียบกับโลหะเงิน