ราคาโลหะเงิน (XAG/USD) ฟื้นตัวขึ้นหลังจากการขาดทุนติดต่อกันสองวัน โดยซื้อขายอยู่ที่ประมาณ $31.30 ต่อทรอยออนซ์ในช่วงชั่วโมงการตลาดเอเชียในวันจันทร์ โลหะมีค่าดังกล่าวได้รับประโยชน์จากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ
ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์ประกาศภาษีเพิ่มเติม 10% สำหรับการนำเข้าจากจีน ซึ่งจะมีผลในวันอังคาร หลังจากที่มีการกำหนดภาษี 10% ที่คล้ายกันเมื่อเดือนที่แล้ว นอกจากนี้ ในวันพฤหัสบดี เขายังได้ระบุผ่าน Truth Social ว่าภาษี 25% สำหรับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มีนาคม
ในตอบสนอง จีนกำลังพิจารณามาตรการตอบโต้ ซึ่งอาจรวมถึงทั้งการจำกัดภาษีและการจำกัดที่ไม่ใช่ภาษี ผลิตภัณฑ์เกษตรและอาหารของสหรัฐฯ คาดว่าจะเป็นเป้าหมายหลัก โดยอาจมีการดำเนินการที่ไม่ใช่ภาษี เช่น การตรวจสอบกฎระเบียบที่เพิ่มขึ้น การล่าช้าของศุลกากร และอุปสรรคทางการค้าอื่น ๆ
ในขณะเดียวกัน ความตึงเครียดทางภูมิศาสตร์การเมืองทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเกิดข้อพิพาทระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และผู้นำยูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกี ในระหว่างการเจรจาสันติภาพ เซเลนสกีคาดว่าจะลงนามในข้อตกลงที่ให้สหรัฐฯ เข้าถึงแร่ธาตุหายากของยูเครนมากขึ้นและจัดการแถลงข่าวร่วมกัน อย่างไรก็ตาม แผนดังกล่าวถูกยกเลิกหลังจากการแลกเปลี่ยนที่รุนแรงระหว่างผู้นำต่อหน้าสื่อ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) ที่อ่อนค่าก็ยังสนับสนุนโลหะเงิน ทำให้เข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับผู้ถือสกุลเงินอื่น ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ซึ่งติดตามค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักหกสกุล เคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 107.30 ในขณะที่เขียน
นอกจากนี้ ข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ PCE ล่าสุดของสหรัฐฯ ยังช่วยบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อ ทำให้ความคาดหวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เพิ่มขึ้น ซึ่งยังช่วยเพิ่มความน่าสนใจของโลหะเงินในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน
รายงาน PCE ของเดือนมกราคมสอดคล้องกับความคาดหวังของตลาด โดยอัตราเงินเฟ้อ PCE รายเดือนอยู่ที่ 0.3% ขณะที่ PCE พื้นฐานเพิ่มขึ้นเป็น 0.3% จาก 0.2% ในเดือนธันวาคม ขณะที่อัตราเงินเฟ้อ PCE รายปีอยู่ที่ 2.6% ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์เล็กน้อยแต่ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนธันวาคม PCE พื้นฐานลดลงเหลือ 2.6% จาก 2.9% ที่ปรับปรุงในเดือนธันวาคม
แร่เงินเป็นโลหะมีค่าที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนอย่างมากในหมู่นักลงทุน ในอดีต โลหะเงินถูกใช้เป็นสินทรัพย์สะสมมูลค่าและเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แม้ว่าจะได้รับความนิยมน้อยกว่าทองคํา แต่นักลงทุนอาจหันไปใช้โลหะเงินเพื่อกระจายพอร์ตการลงทุนของตนเพื่อสะสมมูลค่า หรือเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง นักลงทุนสามารถซื้อโลหะเงินจริงในรูปแบบของเหรียญ ในรูปแบบของแท่งหรือซื้อขายผ่านตัวกลางเช่น Exchange Traded Funds ซึ่งอ้างอิงราคาโลหะเงินในตลาดต่างประเทศ
ราคาโลหะเงินสามารถเคลื่อนไหวได้จากปัจจัยหลายประการ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์หรือความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงอาจทําให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นจากสถานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าจะได้รับความสนใจน้อยกว่าทองคําก็ตาม ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน โลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง การเคลื่อนไหวของโลหะเงินยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของดอลลาร์สหรัฐ (USD) เพราะสินทรัพย์โลหะเงินซื้อขายด้วยราคาเป็นดอลลาร์ (XAGUSD) ดอลลาร์ที่แข็งค่ามีแนวโน้มที่จะรักษาราคาโลหะเงินไว้ แต่หากดอลลาร์อ่อนค่าลง มีแนวโน้มที่จะผลักดันราคาโลหะเงินให้สูงขึ้น ปัจจัยอื่นๆ เช่น อุปสงค์การลงทุน อุปทานการขุด (โลหะเงินมีมากกว่าทองคํามาก) และอัตราการนำกลับมาใช้ก็อาจส่งผลต่อราคาโลหะเงินได้เช่นกัน
โลหะเงินมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์หรือพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากโลหะเงินสามารถนําไฟฟ้าได้สูงที่สุดชนิดหนึ่งเมื่อเทียบกับโลหะทั้งหมด มากกว่าทองแดงและทองคํา ความต้องการโลหะที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นได้ การเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จีน และอินเดียยังสามารถส่งผลต่อการแกว่งตัวของราคาโลหะเงิน ในสหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของพวกเขาใช้โลหะเงินในกระบวนการต่างๆ ในอินเดีย ความต้องการโลหะมีค่าของผู้บริโภคเพื่อเอาไปสร้างเครื่องประดับก็มีบทบาทสําคัญในการกําหนดราคาโลหะเงินเช่นกัน
ราคาโลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวตามราคาทองคํา เมื่อราคาทองคําสูงขึ้น โลหะเงินมักจะเคลื่อนไหวามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม สถานะของสินทรัพย์ทั้งสองไม่ได้อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความคล้ายคลึงกัน อัตราส่วนเปรียบเทียบทองคําและโลหะเงินจะให้ข้อมูลของจํานวนออนซ์ของโลหะเงินที่จําเป็นเพื่อให้เท่ากับมูลค่าของทองคําหนึ่งออนซ์ อัตราส่วนเปรียบทียบนี้อาจช่วยในการกําหนดการประเมินมูลค่าสัมพัทธ์ระหว่างโลหะทั้งสอง นักลงทุนบางคนอาจพิจารณาว่าหากอัตราส่วนนี้สูง จะหมายความว่าโลหะเงินมีมูลค่าต่ำเกินไป หรือทองคํามีมูลค่าสูงเกินไป ในทางตรงกันข้าม อัตราส่วนที่ต่ำอาจบ่งบอกว่าทองคํามีมูลค่าต่ำกินไปเมื่อเทียบกับโลหะเงิน