WTI ถอยจาก 70 ดอลลาร์ หลังทรัมป์ประกาศเก็บภาษีเพิ่มเติม 10% ต่อจีน
- ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงจาก $70.00 เนื่องจากการคุกคามภาษีใหม่ของทรัมป์ได้สร้างความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน
- ทรัมป์ประกาศภาษีเพิ่มเติม 10% ต่อจีนสำหรับการส่งฟันตานิลเข้าสู่เศรษฐกิจสหรัฐฯ
- นักลงทุนรอการประชุมของทรัมป์กับเซเลนสกีของยูเครนเกี่ยวกับข้อตกลงแร่ธาตุ
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) ฟิวเจอร์สใน NYMEX ปรับตัวลดลงใกล้ $69.20 ในช่วงเวลาการซื้อขายในยุโรปในวันศุกร์ ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นใกล้ $70.00 ในวันพฤหัสบดีหลังจากฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดในรอบสองเดือนที่ประมาณ $68.30 ซึ่งเกิดขึ้นในวันพุธ
ราคาน้ำมันเผชิญกับแรงขายที่รุนแรงเนื่องจากการคุกคามภาษีใหม่จากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้เพิ่มความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทั่วโลก ในวันพฤหัสบดี ทรัมป์ได้สื่อสารในทวีตของเขาบน Truth.Social ว่าเขาพร้อมที่จะกำหนดภาษีเพิ่มเติม 10% ต่อจีน ทรัมป์ชี้แจงว่ายาเสพติดที่ไหลเข้าสู่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านชายแดนของแคนาดาและเม็กซิโกส่วนใหญ่เป็นฟันตานิล ซึ่งผลิตและจัดหาจากจีน
การกำหนดภาษีนำเข้าสำหรับจีนเพิ่มเติมโดยสหรัฐฯ คาดว่าจะทำให้ผลิตภัณฑ์ของจีนมีความสามารถในการแข่งขันน้อยลงในตลาดโลก สถานการณ์เช่นนี้บ่งชี้ถึงแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันที่อ่อนแอ เนื่องจากจีนเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังได้ยืนยันว่าแคนาดาและเม็กซิโกจะเผชิญกับภาษี 25% ในวันที่ 4 มีนาคม
ในขณะเดียวกัน ความหวังที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับสันติภาพในสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนได้ทำให้ราคาน้ำมันอยู่ในภาวะที่ไม่ดี นักลงทุนรอการประชุมของโดนัลด์ ทรัมป์กับผู้นำยูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกี เกี่ยวกับข้อตกลงแร่ธาตุในวันศุกร์ พวกเขายังคาดว่าจะหารือเกี่ยวกับเงื่อนไขสำหรับสันติภาพในยูเครน การพัฒนาที่ดีเกี่ยวกับสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนจะเป็นสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อราคาน้ำมัน โดยสมมติว่าเขตยูโรโซนและสหรัฐฯ จะยกเลิกการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย ซึ่งจะส่งผลให้การไหลของน้ำมันทางทะเลเข้าสู่ตลาดโลกเพิ่มขึ้น
WTI Oil FAQs
น้ำมัน WTI เป็นน้ำมันดิบประเภทหนึ่งที่จําหน่ายในตลาดต่างประเทศ WTI ย่อมาจากเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต (West Texas Intermediate) ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำมันสามประเภทหลัก ได้แก่ Brent และ Dubai Crude และ WTI น้ำมันดิบ WTI เรียกอีกอย่างว่าน้ำมัน "เบา" และน้ำมัน "หวาน" เนื่องจากมีน้ำหนักและปริมาณกํามะถันค่อนข้างต่ำ ตามลําดับแล้ว WTI ถือเป็นน้ำมันคุณภาพสูงที่กลั่นได้ง่าย มีแหล่งที่มาในสหรัฐอเมริกาและจัดจําหน่ายผ่านศูนย์กลาง Cushing ซึ่งถือเป็น "เส้นทางเดินน้ำมันหลักของโลก" เป็นเกณฑ์มาตรฐานสําหรับตลาดน้ำมันและราคาของน้ำมัน WTI มักถูกอ้างอิงในสื่อต่างๆ
เช่นเดียวกับสินทรัพย์ทั้งหมด อุปสงค์และอุปทานเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของราคาน้ำมัน WTI ด้วยเหตุนี้ การเติบโตทั่วโลกจึงเป็นตัวขับเคลื่อนอุปสงค์น้ำมันให้เพิ่มขึ้น และในทางกลับกัน เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่อ่อนแอ มีความไม่มั่นคงทางการเมือง สงคราม และการคว่ำบาตรต่างๆ ปัจจัยเหล่านี้อาจสามารถกดดันอุปทาน และส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน นอกจากนี้ การตัดสินใจของกลุ่มโอเปก ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ เป็นอีกหนึ่งตัวขับเคลื่อนราคาที่สําคัญ และมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐก็มีอิทธิพลต่อราคาน้ำมันดิบ WTI เนื่องจากเป็นน้ำมันที่มีการซื้อขายด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ก็อาจทําให้น้ำมันมีราคาถูกลงมากขึ้น และในทางกลับกันด้วยเช่นกัน
รายงานน้ำมันคงคลังรายสัปดาห์ที่ประกาศโดยสถานบันปิโตรเลียมของอเมริกา หรือ American Petroleum Institute (API) และสำนักงานข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานหรือ Energy Information Agency (EIA) ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่เปลี่ยนแปลงไปสะท้อนให้เห็นภาพอุปสงค์/อุปทานที่ผันผวน หากข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าน้ำมันดิบคงคลังลดลง อาจหมายความว่าอุปสงค์น้ำมันเพิ่มขึ้น และผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น การที่ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสูงขึ้นสามารถสะท้อนให้เห็นอุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของ API จะประกาศทุกวันอังคารและของ EIA จะประกาศในถัดไป ตัวเลขจากรายงานเหล่านี้มักจะคล้ายกัน อาจจะมีความแตกต่างกันเพียง 1% (มีโอกาสราว ๆ 75%) ข้อมูลจาก EIA ถือว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่าเนื่องจากเป็นหน่วยงานของรัฐ
OPEC (หรือองค์การบริหารน้ำมันปิโตรเลียมของประเทศกลุ่มผู้ส่งออก - Organization of the Petroleum Exporting Countries) เป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน 12 ประเทศที่ร่วมกันกําหนดโควตาการผลิตน้ำมันสําหรับประเทศสมาชิก มีการประชุมปีละสองครั้ง การตัดสินใจขององค์กรนี้มักส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI เมื่อโอเปกตัดสินใจลดโควตาการผลิต นั่นอาจทําให้อุปทานน้ำมันตึงตัว ผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น แต่เมื่อโอเปกเพิ่มการผลิต ก็จะมีผลตรงกันข้าม OPEC+ หมายถึงกลุ่มประเทศสมาชิกนอกจากโอเปกดั้งเดิมเพิ่มอีกสิบประเทศ โดยประเทศที่มีอิทธิพลที่สุดก็คือรัสเซีย
บทความแนะนำ
