ราคาโลหะเงินขยับสูงขึ้นและบันทึกกำไรเกิน 0.70% ในวันจันทร์ เนื่องจากตลาดการเงินสหรัฐฯ ปิดทำการเนื่องในวันประธานาธิบดี ขณะที่เขียนบทความนี้ XAG/USD เคลื่อนไหวอยู่ที่ $32.35 ในช่วงเช้าของตลาดลงทุนเอเชียวันอังคาร แทบไม่เปลี่ยนแปลง
โลหะสีเทาเปลี่ยนจากแนวโน้มเป็นกลางไปเป็นขาขึ้น แม้ว่าแท่งเทียนปฏิเสธอย่างรวดเร็วที่พิมพ์เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์หลังจากแตะระดับสูงสุดในรอบสามเดือนที่ $33.39 อาจเปิดทางให้มีการปรับตัวลงเพิ่มเติม
ดัชนี Relative Strength Index (RSI) ยังคงเป็นขาขึ้น แต่ควรสังเกตว่าเมื่อ XAG/USD พุ่งผ่าน $33.00 RSI ไม่สามารถบันทึกจุดสูงสุดที่สูงขึ้นได้ ซึ่งบ่งชี้ว่า 'ไดเวอร์เจนต์เชิงลบ' กำลังใกล้เข้ามา
หากโลหะเงินลดลงต่ำกว่าจุดต่ำสุดของสวิงเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ที่ $31.92 โลหะสีเทาจะมีแนวโน้มทดสอบเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (SMA) 100 วันที่ $31.15 การทะลุระดับนี้จะเปิดเผยเส้น SMA 50 และ 200 วัน ที่ $30.60 และ $30.42 ตามลำดับ
ในทางกลับกัน หาก XAG/USD พุ่งผ่าน $32.50 ระดับจิตวิทยาที่ $33.00 จะเป็นแนวต้านสำคัญ เมื่อผ่านไปได้ ระดับสูงสุดปีจนถึงปัจจุบัน (YTD) จะเป็นเป้าหมายถัดไปที่ $33.39
แร่เงินเป็นโลหะมีค่าที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนอย่างมากในหมู่นักลงทุน ในอดีต โลหะเงินถูกใช้เป็นสินทรัพย์สะสมมูลค่าและเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แม้ว่าจะได้รับความนิยมน้อยกว่าทองคํา แต่นักลงทุนอาจหันไปใช้โลหะเงินเพื่อกระจายพอร์ตการลงทุนของตนเพื่อสะสมมูลค่า หรือเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง นักลงทุนสามารถซื้อโลหะเงินจริงในรูปแบบของเหรียญ ในรูปแบบของแท่งหรือซื้อขายผ่านตัวกลางเช่น Exchange Traded Funds ซึ่งอ้างอิงราคาโลหะเงินในตลาดต่างประเทศ
ราคาโลหะเงินสามารถเคลื่อนไหวได้จากปัจจัยหลายประการ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์หรือความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงอาจทําให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นจากสถานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าจะได้รับความสนใจน้อยกว่าทองคําก็ตาม ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน โลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง การเคลื่อนไหวของโลหะเงินยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของดอลลาร์สหรัฐ (USD) เพราะสินทรัพย์โลหะเงินซื้อขายด้วยราคาเป็นดอลลาร์ (XAGUSD) ดอลลาร์ที่แข็งค่ามีแนวโน้มที่จะรักษาราคาโลหะเงินไว้ แต่หากดอลลาร์อ่อนค่าลง มีแนวโน้มที่จะผลักดันราคาโลหะเงินให้สูงขึ้น ปัจจัยอื่นๆ เช่น อุปสงค์การลงทุน อุปทานการขุด (โลหะเงินมีมากกว่าทองคํามาก) และอัตราการนำกลับมาใช้ก็อาจส่งผลต่อราคาโลหะเงินได้เช่นกัน
โลหะเงินมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์หรือพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากโลหะเงินสามารถนําไฟฟ้าได้สูงที่สุดชนิดหนึ่งเมื่อเทียบกับโลหะทั้งหมด มากกว่าทองแดงและทองคํา ความต้องการโลหะที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นได้ การเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จีน และอินเดียยังสามารถส่งผลต่อการแกว่งตัวของราคาโลหะเงิน ในสหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของพวกเขาใช้โลหะเงินในกระบวนการต่างๆ ในอินเดีย ความต้องการโลหะมีค่าของผู้บริโภคเพื่อเอาไปสร้างเครื่องประดับก็มีบทบาทสําคัญในการกําหนดราคาโลหะเงินเช่นกัน
ราคาโลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวตามราคาทองคํา เมื่อราคาทองคําสูงขึ้น โลหะเงินมักจะเคลื่อนไหวามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม สถานะของสินทรัพย์ทั้งสองไม่ได้อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความคล้ายคลึงกัน อัตราส่วนเปรียบเทียบทองคําและโลหะเงินจะให้ข้อมูลของจํานวนออนซ์ของโลหะเงินที่จําเป็นเพื่อให้เท่ากับมูลค่าของทองคําหนึ่งออนซ์ อัตราส่วนเปรียบทียบนี้อาจช่วยในการกําหนดการประเมินมูลค่าสัมพัทธ์ระหว่างโลหะทั้งสอง นักลงทุนบางคนอาจพิจารณาว่าหากอัตราส่วนนี้สูง จะหมายความว่าโลหะเงินมีมูลค่าต่ำเกินไป หรือทองคํามีมูลค่าสูงเกินไป ในทางตรงกันข้าม อัตราส่วนที่ต่ำอาจบ่งบอกว่าทองคํามีมูลค่าต่ำกินไปเมื่อเทียบกับโลหะเงิน