WTI ยังคงอยู่ในแนวรับใกล้ $71.00 ท่ามกลางการเพิ่มขึ้นของสต็อกน้ำมันสหรัฐฯ ความกังวลเกี่ยวกับการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน
- ราคา WTI ขยับลดลงมาอยู่ที่ประมาณ $71.00 ในช่วงเช้าของตลาดลงทุนเอเชียวันพฤหัสบดี
- ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 8.664 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ตามรายงานของ EIA
- เทรดเดอร์น้ำมันกังวลเกี่ยวกับการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ
West Texas Intermediate (WTI) ซึ่งเป็นเกณฑ์ราคามาตรฐานของน้ำมันดิบสหรัฐฯ ซื้อขายอยู่ที่ประมาณ $71.00 ในช่วงเช้าของตลาดลงทุนเอเชียวันพฤหัสบดี ราคา WTI ขยับลดลงท่ามกลางปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากและความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่กลับมาอีกครั้ง
ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมากในสัปดาห์ที่แล้ว สะท้อนถึงอุปสงค์ที่อ่อนแอลง รายงานประจำสัปดาห์ของสำนักงานข้อมูลด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) แสดงให้เห็นว่าปริมาณน้ำมันดิบคงคลังในสหรัฐฯ สำหรับสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 31 มกราคม เพิ่มขึ้น 8.664 ล้านบาร์เรล เทียบกับการเพิ่มขึ้น 3.463 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ก่อนหน้า ความเห็นพ้องของตลาดคาดว่าปริมาณน้ำมันดิบคงคลังจะเพิ่มขึ้น 3.2 ล้านบาร์เรล
ความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าที่อาจเกิดขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ของโลก อาจกดดันให้ราคา WTI ปรับตัวลดลง ในวันอังคาร กระทรวงการคลังของจีนประกาศชุดภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าหลายประเภทของสหรัฐฯ รวมถึงน้ำมันดิบ อุปกรณ์การเกษตร และรถยนต์บางประเภท เพื่อตอบโต้ทันทีต่อการประกาศภาษี 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีนโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ นอกจากนี้ จีนยังได้แจ้งเตือนบริษัทหลายแห่ง รวมถึง Google เกี่ยวกับการคว่ำบาตรที่อาจเกิดขึ้นเพื่อตอบโต้ภาษีของทรัมป์
ในวันพุธ ประธานาธิบดีอิหร่าน Masoud Pezeshkian เรียกร้องให้สมาชิก OPEC รวมตัวกันต่อต้านการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่อาจเกิดขึ้นหลังจากที่ทรัมป์ประกาศกลับมาใช้แคมเปญ "กดดันสูงสุด" ต่ออิหร่านในช่วงแรกของการดำรงตำแหน่ง ขณะเดียวกัน รองนายกรัฐมนตรีรัสเซีย Alexander Novak กล่าวว่ากลุ่มรัฐมนตรีจาก OPEC และพันธมิตรที่นำโดยรัสเซีย (OPEC+) ได้ทบทวนข้อเสนอของทรัมป์ในการเพิ่มการผลิตและตัดสินใจว่า OPEC+ จะเริ่มเพิ่มการผลิตในวันที่ 1 เมษายนตามแผนเดิม
WTI Oil FAQs
น้ำมัน WTI เป็นน้ำมันดิบประเภทหนึ่งที่จําหน่ายในตลาดต่างประเทศ WTI ย่อมาจากเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต (West Texas Intermediate) ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำมันสามประเภทหลัก ได้แก่ Brent และ Dubai Crude และ WTI น้ำมันดิบ WTI เรียกอีกอย่างว่าน้ำมัน "เบา" และน้ำมัน "หวาน" เนื่องจากมีน้ำหนักและปริมาณกํามะถันค่อนข้างต่ำ ตามลําดับแล้ว WTI ถือเป็นน้ำมันคุณภาพสูงที่กลั่นได้ง่าย มีแหล่งที่มาในสหรัฐอเมริกาและจัดจําหน่ายผ่านศูนย์กลาง Cushing ซึ่งถือเป็น "เส้นทางเดินน้ำมันหลักของโลก" เป็นเกณฑ์มาตรฐานสําหรับตลาดน้ำมันและราคาของน้ำมัน WTI มักถูกอ้างอิงในสื่อต่างๆ
เช่นเดียวกับสินทรัพย์ทั้งหมด อุปสงค์และอุปทานเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของราคาน้ำมัน WTI ด้วยเหตุนี้ การเติบโตทั่วโลกจึงเป็นตัวขับเคลื่อนอุปสงค์น้ำมันให้เพิ่มขึ้น และในทางกลับกัน เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่อ่อนแอ มีความไม่มั่นคงทางการเมือง สงคราม และการคว่ำบาตรต่างๆ ปัจจัยเหล่านี้อาจสามารถกดดันอุปทาน และส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน นอกจากนี้ การตัดสินใจของกลุ่มโอเปก ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ เป็นอีกหนึ่งตัวขับเคลื่อนราคาที่สําคัญ และมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐก็มีอิทธิพลต่อราคาน้ำมันดิบ WTI เนื่องจากเป็นน้ำมันที่มีการซื้อขายด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ก็อาจทําให้น้ำมันมีราคาถูกลงมากขึ้น และในทางกลับกันด้วยเช่นกัน
รายงานน้ำมันคงคลังรายสัปดาห์ที่ประกาศโดยสถานบันปิโตรเลียมของอเมริกา หรือ American Petroleum Institute (API) และสำนักงานข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานหรือ Energy Information Agency (EIA) ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่เปลี่ยนแปลงไปสะท้อนให้เห็นภาพอุปสงค์/อุปทานที่ผันผวน หากข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าน้ำมันดิบคงคลังลดลง อาจหมายความว่าอุปสงค์น้ำมันเพิ่มขึ้น และผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น การที่ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสูงขึ้นสามารถสะท้อนให้เห็นอุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของ API จะประกาศทุกวันอังคารและของ EIA จะประกาศในถัดไป ตัวเลขจากรายงานเหล่านี้มักจะคล้ายกัน อาจจะมีความแตกต่างกันเพียง 1% (มีโอกาสราว ๆ 75%) ข้อมูลจาก EIA ถือว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่าเนื่องจากเป็นหน่วยงานของรัฐ
OPEC (หรือองค์การบริหารน้ำมันปิโตรเลียมของประเทศกลุ่มผู้ส่งออก - Organization of the Petroleum Exporting Countries) เป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน 12 ประเทศที่ร่วมกันกําหนดโควตาการผลิตน้ำมันสําหรับประเทศสมาชิก มีการประชุมปีละสองครั้ง การตัดสินใจขององค์กรนี้มักส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI เมื่อโอเปกตัดสินใจลดโควตาการผลิต นั่นอาจทําให้อุปทานน้ำมันตึงตัว ผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น แต่เมื่อโอเปกเพิ่มการผลิต ก็จะมีผลตรงกันข้าม OPEC+ หมายถึงกลุ่มประเทศสมาชิกนอกจากโอเปกดั้งเดิมเพิ่มอีกสิบประเทศ โดยประเทศที่มีอิทธิพลที่สุดก็คือรัสเซีย
บทความแนะนำ
