WTI แกว่งตัวในกรอบต่ำกว่าระดับ $73.00 ศักยภาพขาลงดูเหมือนจะจำกัด
- WTI ปรับฐานหลังจากการย่อตัวในช่วงข้ามคืนจากระดับสูงสุดในรอบเกือบสามเดือน
- ความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่อ่อนแอจากจีนและอุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจำกัดขาขึ้น
- ความกังวลเกี่ยวกับอุปทานที่ตึงตัวจากรัสเซียและอิหร่านหนุนสินค้าโภคภัณฑ์
ราคาน้ำมันดิบ West Texas Intermediate (WTI) ของสหรัฐฯ ดิ้นรนเพื่อหาทิศทางในระหว่างวันในวันอังคารและแกว่งตัวในกรอบการซื้อขายแคบ ๆ ต่ำกว่าระดับ 73.00 ดอลลาร์ในช่วงต้นเซสชั่นยุโรป ขณะนี้สินค้าโภคภัณฑ์ดูเหมือนจะหยุดการปรับฐานจากบริเวณกลาง 74.00 ดอลลาร์ หรือระดับสูงสุดในรอบเกือบสามเดือนที่แตะเมื่อวันจันทร์ท่ามกลางปัจจัยพื้นฐานที่ผสมผสานกัน
ความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่อ่อนแอจากจีน – ผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก – และอุปทานที่เพิ่มขึ้นจากประเทศนอกกลุ่ม OPEC กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่เป็นอุปสรรคต่อราคาน้ำมันดิบ นอกจากนี้ ปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบทั่วโลกลดลงในปี 2024 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การระบาดของ COVID-19 สิ่งนี้รวมถึงความคาดหวังว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ช้าลงโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในปี 2025 อาจทำให้อุปสงค์เชื้อเพลิงลดลง มีส่วนในการจำกัดราคาน้ำมันดิบ
อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับอุปทานที่ตึงตัวจากรัสเซียและอิหร่าน ท่ามกลางการคว่ำบาตรที่เพิ่มขึ้นจากตะวันตกช่วยตรวจสอบการขาดทุน ควรจะยังคงให้การสนับสนุนราคาน้ำมันดิบและช่วยจำกัดการลดลงที่มีนัยสำคัญใด ๆ สิ่งนี้ทำให้ควรรอการขายต่อเนื่องที่แข็งแกร่งก่อนที่จะยืนยันว่าการเคลื่อนไหวในเชิงบวกที่เห็นในช่วงเดือนที่ผ่านมาได้หมดแรงและการวางตำแหน่งสำหรับการเคลื่อนไหวที่ลดลงเพิ่มเติมในสินค้าโภคภัณฑ์
เทรดเดอร์อาจเลือกที่จะรอดูอยู่ข้างสนามก่อนการเปิดเผยรายงานการประชุม FOMC ในสัปดาห์นี้และรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP) ของสหรัฐฯ ที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดในวันพุธและวันศุกร์ตามลำดับ สิ่งนี้จะมีบทบาทสำคัญในการมีอิทธิพลต่อพลวัตของราคาดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ในระยะสั้น ซึ่งจะให้แรงผลักดันที่มีนัยสำคัญต่อสินค้าโภคภัณฑ์ที่กำหนดราคาเป็น USD และช่วยกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของราคาน้ำมันดิบ
WTI Oil FAQs
น้ำมัน WTI เป็นน้ำมันดิบประเภทหนึ่งที่จําหน่ายในตลาดต่างประเทศ WTI ย่อมาจากเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต (West Texas Intermediate) ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำมันสามประเภทหลัก ได้แก่ Brent และ Dubai Crude และ WTI น้ำมันดิบ WTI เรียกอีกอย่างว่าน้ำมัน "เบา" และน้ำมัน "หวาน" เนื่องจากมีน้ำหนักและปริมาณกํามะถันค่อนข้างต่ำ ตามลําดับแล้ว WTI ถือเป็นน้ำมันคุณภาพสูงที่กลั่นได้ง่าย มีแหล่งที่มาในสหรัฐอเมริกาและจัดจําหน่ายผ่านศูนย์กลาง Cushing ซึ่งถือเป็น "เส้นทางเดินน้ำมันหลักของโลก" เป็นเกณฑ์มาตรฐานสําหรับตลาดน้ำมันและราคาของน้ำมัน WTI มักถูกอ้างอิงในสื่อต่างๆ
เช่นเดียวกับสินทรัพย์ทั้งหมด อุปสงค์และอุปทานเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของราคาน้ำมัน WTI ด้วยเหตุนี้ การเติบโตทั่วโลกจึงเป็นตัวขับเคลื่อนอุปสงค์น้ำมันให้เพิ่มขึ้น และในทางกลับกัน เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่อ่อนแอ มีความไม่มั่นคงทางการเมือง สงคราม และการคว่ำบาตรต่างๆ ปัจจัยเหล่านี้อาจสามารถกดดันอุปทาน และส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน นอกจากนี้ การตัดสินใจของกลุ่มโอเปก ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ เป็นอีกหนึ่งตัวขับเคลื่อนราคาที่สําคัญ และมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐก็มีอิทธิพลต่อราคาน้ำมันดิบ WTI เนื่องจากเป็นน้ำมันที่มีการซื้อขายด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ก็อาจทําให้น้ำมันมีราคาถูกลงมากขึ้น และในทางกลับกันด้วยเช่นกัน
รายงานน้ำมันคงคลังรายสัปดาห์ที่ประกาศโดยสถานบันปิโตรเลียมของอเมริกา หรือ American Petroleum Institute (API) และสำนักงานข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานหรือ Energy Information Agency (EIA) ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่เปลี่ยนแปลงไปสะท้อนให้เห็นภาพอุปสงค์/อุปทานที่ผันผวน หากข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าน้ำมันดิบคงคลังลดลง อาจหมายความว่าอุปสงค์น้ำมันเพิ่มขึ้น และผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น การที่ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสูงขึ้นสามารถสะท้อนให้เห็นอุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของ API จะประกาศทุกวันอังคารและของ EIA จะประกาศในถัดไป ตัวเลขจากรายงานเหล่านี้มักจะคล้ายกัน อาจจะมีความแตกต่างกันเพียง 1% (มีโอกาสราว ๆ 75%) ข้อมูลจาก EIA ถือว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่าเนื่องจากเป็นหน่วยงานของรัฐ
OPEC (หรือองค์การบริหารน้ำมันปิโตรเลียมของประเทศกลุ่มผู้ส่งออก - Organization of the Petroleum Exporting Countries) เป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน 12 ประเทศที่ร่วมกันกําหนดโควตาการผลิตน้ำมันสําหรับประเทศสมาชิก มีการประชุมปีละสองครั้ง การตัดสินใจขององค์กรนี้มักส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI เมื่อโอเปกตัดสินใจลดโควตาการผลิต นั่นอาจทําให้อุปทานน้ำมันตึงตัว ผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น แต่เมื่อโอเปกเพิ่มการผลิต ก็จะมีผลตรงกันข้าม OPEC+ หมายถึงกลุ่มประเทศสมาชิกนอกจากโอเปกดั้งเดิมเพิ่มอีกสิบประเทศ โดยประเทศที่มีอิทธิพลที่สุดก็คือรัสเซีย
บทความแนะนำ
