WTI ร่วงลงมาใกล้ $74.00 หลังรายงานข้อมูลเงินเฟ้อของจีน
- WTI อ่อนค่าลงเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินฝืดในจีน
- ราคาน้ำมันเจอแรงกดดันเนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน
- สหรัฐฯ คว่ำบาตรภาคปิโตรเลียมและปิโตรเคมีของอิหร่านมากขึ้นเพื่อตอบโต้การโจมตีอิหร่านต่ออิสราเอล
ราคาน้ำมัน West Texas Intermediate (WTI) ขยายการปรับตัวขาลงเป็นเซสชั่นที่สองติดต่อกัน โดยซื้อขายที่ประมาณ 74.10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงเซสชั่นเอเชียในวันจันทร์ ราคา WTI อ่อนค่าลงมากกว่า 1% หลังจากข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนกันยายนที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์จากประเทศจีนที่เผยแพร่ออกมาในวันอาทิตย์
สํานักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) รายเดือนของประเทศจีนยังคงไม่เปลี่ยนแปลงที่ 0% ในเดือนกันยายน โดยลดลงจากการเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนสิงหาคม อัตราเงินเฟ้อประจําปีเพิ่มขึ้น 0.4% ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 0.6% นอกจากนี้ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ลดลง 2.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งลดลงมากกว่าการลดลงครั้งก่อนหน้านี้ที่ 1.8% และน้อยกว่าระดับการคาดการณ์ที่จะลดลง 2.5%
ราคาน้ำมันดิบยังเผชิญกับแรงกดดันขาลงอย่างต่อเนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจในจีน ซึ่งทําให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ในประเทศจีนผู้นําเข้าน้ำมันดิบมากที่สุดในโลก อย่างไรก็ตาม หลังจากการบรรยายสรุปจากกระทรวงการคลังของจีน (MoF) เมื่อวันเสาร์ สภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) ได้แสดงความเชื่อมั่นออกมา ทางกระทรวงประกาศแผนการที่จะออกพันธบัตรพิเศษที่มุ่งสนับสนุนการเพิ่มทุนของธนาคารและทําให้ภาคอสังหาริมทรัพย์มีเสถียรภาพมากขึ้น แม้ว่าจะยังไม่มีตัวเลขที่เฉพาะเจาะจงก็ตาม
แรงการอ่อนตัวลงของน้ำมันอาจถูกจํากัดไว้หลังจากความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นในตะวันออกกลาง โดยทางสหรัฐฯ เพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่อภาคปิโตรเลียมและปิโตรเคมีของอิหร่านเมื่อวันศุกร์ เพื่อตอบโต้การโจมตีด้วยขีปนาวุธของอิหร่านต่ออิสราเอล
และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อวันอาทิตย์ กลุ่มฮิซบอลเลาะห์อ้างความรับผิดชอบต่อการโจมตีด้วยโดรนในภาคเหนือตอนกลางของอิสราเอล ซึ่งคร่าชีวิตทหารอิสราเอลอย่างน้อยสี่คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 60 คนตามรายงานของซีเอ็นเอ็น โดยจํานวนผู้บาดเจ็บนี้ทําให้การโจมตีครั้งนี้เป็นหนึ่งในการโจมตีที่เกิดการนองเลือดมากที่สุดต่ออิสราเอลนับตั้งแต่สงครามครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว
น้ำมันดิบ WTI: คําถามที่พบบ่อย
น้ำมัน WTI คืออะไร?
น้ำมัน WTI เป็นน้ำมันดิบประเภทหนึ่งที่จําหน่ายในตลาดต่างประเทศ WTI ย่อมาจากเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต (West Texas Intermediate) ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำมันสามประเภทหลัก ได้แก่ Brent และ Dubai Crude และ WTI น้ำมันดิบ WTI เรียกอีกอย่างว่าน้ำมัน "เบา" และน้ำมัน "หวาน" เนื่องจากมีน้ำหนักและปริมาณกํามะถันค่อนข้างต่ำ ตามลําดับแล้ว WTI ถือเป็นน้ำมันคุณภาพสูงที่กลั่นได้ง่าย มีแหล่งที่มาในสหรัฐอเมริกาและจัดจําหน่ายผ่านศูนย์กลาง Cushing ซึ่งถือเป็น "เส้นทางเดินน้ำมันหลักของโลก" เป็นเกณฑ์มาตรฐานสําหรับตลาดน้ำมันและราคาของน้ำมัน WTI มักถูกอ้างอิงในสื่อต่างๆ
ปัจจัยใดที่ผลักดันให้ราคาน้ำมัน WTI เคลื่อนไหว?
เช่นเดียวกับสินทรัพย์ทั้งหมด อุปสงค์และอุปทานเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของราคาน้ำมัน WTI ด้วยเหตุนี้ การเติบโตทั่วโลกจึงเป็นตัวขับเคลื่อนอุปสงค์น้ำมันให้เพิ่มขึ้น และในทางกลับกัน เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่อ่อนแอ มีความไม่มั่นคงทางการเมือง สงคราม และการคว่ำบาตรต่างๆ ปัจจัยเหล่านี้อาจสามารถกดดันอุปทาน และส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน นอกจากนี้ การตัดสินใจของกลุ่มโอเปก ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ เป็นอีกหนึ่งตัวขับเคลื่อนราคาที่สําคัญ และมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐก็มีอิทธิพลต่อราคาน้ำมันดิบ WTI เนื่องจากเป็นน้ำมันที่มีการซื้อขายด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ก็อาจทําให้น้ำมันมีราคาถูกลงมากขึ้น และในทางกลับกันด้วยเช่นกัน
ข้อมูลน้ำมันดิบคงคลังส่งผลต่อราคาน้ำมัน WTI อย่างไร
รายงานน้ำมันคงคลังรายสัปดาห์ที่ประกาศโดยสถานบันปิโตรเลียมของอเมริกา หรือ American Petroleum Institute (API) และสำนักงานข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานหรือ Energy Information Agency (EIA) ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่เปลี่ยนแปลงไปสะท้อนให้เห็นภาพอุปสงค์/อุปทานที่ผันผวน หากข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าน้ำมันดิบคงคลังลดลง อาจหมายความว่าอุปสงค์น้ำมันเพิ่มขึ้น และผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น การที่ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสูงขึ้นสามารถสะท้อนให้เห็นอุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของ API จะประกาศทุกวันอังคารและของ EIA จะประกาศในถัดไป ตัวเลขจากรายงานเหล่านี้มักจะคล้ายกัน อาจจะมีความแตกต่างกันเพียง 1% (มีโอกาสราว ๆ 75%) ข้อมูลจาก EIA ถือว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่าเนื่องจากเป็นหน่วยงานของรัฐ
OPEC มีอิทธิพลต่อราคาน้ำมัน WTI อย่างไร?
OPEC (หรือองค์การบริหารน้ำมันปิโตรเลียมของประเทศกลุ่มผู้ส่งออก - Organization of the Petroleum Exporting Countries) เป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน 13 ประเทศที่ร่วมกันกําหนดโควตาการผลิตน้ำมันสําหรับประเทศสมาชิก มีการประชุมปีละสองครั้ง การตัดสินใจขององค์กรนี้มักส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI เมื่อโอเปกตัดสินใจลดโควตาการผลิต นั่นอาจทําให้อุปทานน้ำมันตึงตัว ผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น แต่เมื่อโอเปกเพิ่มการผลิต ก็จะมีผลตรงกันข้าม OPEC+ หมายถึงกลุ่มประเทศสมาชิกนอกจากโอเปกดั้งเดิมเพิ่มอีกสิบประเทศ โดยประเทศที่มีอิทธิพลที่สุดก็คือรัสเซีย
บทความแนะนำ
