คู่ EUR/GBP อ่อนค่าลงใกล้ 0.8285 ในช่วงเช้าของตลาดลงทุนยุโรปวันพุธ ปอนด์สเตอร์ลิง (GBP) ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร (EUR) หลังจากข้อมูลเงินเฟ้อดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหราชอาณาจักรในเดือนมกราคมออกมาสูงกว่าที่คาดไว้ ในวันพุธนี้จะมีการเปิดเผยข้อมูลบัญชีเดินสะพัดของยูโรโซน
ข้อมูลที่เผยแพร่โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติของสหราชอาณาจักรเมื่อวันพุธแสดงให้เห็นว่าดัชนี CPI ทั่วไปของประเทศเพิ่มขึ้น 3.0% YoY ในเดือนมกราคม เทียบกับการเพิ่มขึ้น 2.5% ในเดือนธันวาคม ตัวเลขนี้สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 2.8% ดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่รวมราคาที่ผันผวนของอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 3.7% YoY ในเดือนมกราคม เทียบกับ 3.2% ก่อนหน้านี้ ซึ่งสอดคล้องกับฉันทามติของตลาดที่ 3.7%
ในขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อ CPI รายเดือนของสหราชอาณาจักรลดลงเหลือ -0.1% ในเดือนมกราคมจาก +0.3% ในเดือนธันวาคม ตลาดคาดการณ์ว่าจะลดลงที่ -0.3% ปอนด์สเตอร์ลิงทรงตัวในปฏิกิริยาทันทีต่อข้อมูลเงินเฟ้อ CPI ที่สดใสของสหราชอาณาจักร
การเติบโตที่ช้าลงในยูโรโซนทำให้เกิดความคาดหวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสกุลเงินร่วม นักวิเคราะห์คาดว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในทุกการประชุมจนถึงกลางปี 2025 ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดลงเหลือ 2.0%
อัตราเงินเฟ้อวัดการเพิ่มขึ้นของราคาในตะกร้าสินค้าและบริการที่ใช้อ้างอิง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมักแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงแบบเทียบเดือนต่อเดือน (MoM) และแบบปีต่อปี (YoY) อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะไม่รวมองค์ประกอบที่มีความผันผวนสูงเช่น อาหารและเชื้อเพลิง ปัจจัยเหล่านี้อาจผันผวนเพราะสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นตัวเลขที่นักเศรษฐศาสตร์ให้ความสำคัญและเป็นตัวเลขที่ธนาคารกลางใช้อ้างอิงในการกำหนดเป้าหมาย ธนาคารกลางฯ นิยมคงอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ โดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 2%
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) จะวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาตะกร้าสินค้าและบริการในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยปกติ CPI จะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงแบบเดือนต่อเดือน (MoM) และแบบปีต่อปี (YoY) CPI หลักคือตัวเลขที่ธนาคารกลางใช้กำหนดราคาเป้าหมาย เพราะ CPI ทั่วไปไม่รวมปัจจัยเช่นการผลิตอาหารและเชื้อเพลิงที่มีความผันผวน ดังนั้น เมื่อ CPI พื้นฐานเพิ่มขึ้นมากกว่า 2% จึงมักจะส่งผลให้ธนาคารกลางปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อ CPI ลดลงต่ำกว่า 2% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง จึงเป็นผลดีต่อสกุลเงิน อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นมักส่งผลให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้น และตรงกันข้าม สกุลเงินจะอ่อนค่าเมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลง
แม้ว่าอาจดูเหมือนขัดกับภาพความเป็นจริงที่เห็น แต่อัตราเงินเฟ้อในประเทศที่สูงจะผลักดันมูลค่าของสกุลเงินของประเทศนั้นๆ ให้สูงขึ้นเพราะการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งดึงดูดเงินจากนักลงทุนทั่วโลกให้ไหลเข้าประเทศ เพราะพวกเขากำลังมองหาสถานที่ที่มีกำไรจากการฝากเงินของพวกเขา
ในอดีต ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนหันไปพึ่งพาในช่วงเวลาที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง เนื่องจากทองคำยังคงรักษามูลค่าไว้ได้ นอกจากนี้ ในช่วงเวลาที่ตลาดปั่นป่วนอย่างรุนแรง นักลงทุนมักจะซื้อทองคำด้วยสถานะการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ในปัจจุบันมักไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อเมื่ออัตราเงินเฟ้อสูง ธนาคารกลางต่างๆ มักจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจึงไม่เป็นผลดีต่อทองคำ เนื่องจากทำให้ต้นทุนโอกาสในการถือครองทองคำลดลงเพราะเป็นสินทรัพย์ที่ดอกเบี้ยไม่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการนำเงินไปฝากในบัญชีเงินสด ในทางกลับกัน อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงมีแนวโน้มที่จะส่งผลบวกต่อทองคำ เพราะจะทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลง ทำให้โลหะมีค่าเป็นทางเลือกการลงทุนที่มีโอกาสมากขึ้น