NZDUSD ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่สองติดต่อกัน เคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 0.5660 ในตลาดลงทุนเอเชียวันจันทร์ คู่สกุลเงิน NZDUSD ปรับตัวขึ้นเนื่องจากดอลลาร์สหรัฐ (USD) ยังคงอ่อนค่าหลังจากการเปิดเผยข้อมูลดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐฯ
รายงานอัตราเงินเฟ้อแสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อ PCE พื้นฐานเมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ใช้อ้างอิง ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2.8% ในเดือนพฤศจิกายน ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 2.9% อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานรายเดือนเติบโตปานกลาง 0.1% เทียบกับที่คาดการณ์ไว้ที่ 0.2% และการประกาศก่อนหน้านี้ที่ 0.3%
การเติบโตปานกลางของอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ยิ่งเสริมความคาดหวังของตลาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะใช้นโยบายการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2025 อย่างช้าลง ตามข้อมูลของเครื่องมือ CME FedWatch ขณะนี้ตลาดคาดการณ์ว่ามีโอกาสมากกว่า 90% ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ไม่เปลี่ยนแปลงในเดือนมกราคม โดยคงกรอบปัจจุบันที่ 4.25%–4.50%
ศักยภาพขาขึ้นของดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) อาจถูกจำกัด เนื่องจากข้อมูล GDP ที่อ่อนแอกว่าที่คาดไว้ในไตรมาสที่ 3 ได้ผลักดันให้นิวซีแลนด์เข้าสู่ภาวะถดถอยที่ลึกที่สุดนับตั้งแต่การชะลอตัวครั้งแรกจากโควิด-19 ในปี 2020 ซึ่งเพิ่มความคาดหวังในการผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างรุนแรงจากธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ตลาดได้คาดการณ์ไว้อย่างเต็มที่ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 50 จุดพื้นฐานในการประชุม RBNZ เดือนกุมภาพันธ์
GDP ของนิวซีแลนด์หดตัว 1.0% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสในไตรมาสที่ 3 ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากการหดตัวที่ปรับปรุงใหม่ 1.1% ในไตรมาสที่ 2 แต่แย่กว่าที่คาดการณ์ว่าจะลดลง 0.4% เมื่อเทียบเป็นรายปี GDP หดตัว 1.5% ในไตรมาสที่ 3 ลดลงมากกว่าเมื่อเทียบกับการหดตัว 0.5% ก่อนหน้านี้และต่ำกว่าที่คาดการณ์ว่าจะลดลง 0.4%
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) หรือที่เรียกกันในชื่อเล่นว่ากีวี เป็นสกุลเงินที่ซื้อขายกันดีในหมู่นักลงทุน มูลค่าของสกุลเงินดังกล่าวถูกกําหนดโดยความแข็งแรงของเศรษฐกิจนิวซีแลนด์และนโยบายจากธนาคารกลางภายในประเทศ ถึงกระนั้น ก็มีปัจจัยเฉพาะบางอย่างที่สามารถทําให้ NZD เคลื่อนไหวได้อย่างเช่น ผลการดําเนินงานของเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่จะขยับราคากีวี เนื่องจากจีนเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของนิวซีแลนด์ เช่นหากมีข่าวร้ายสําหรับเศรษฐกิจจีนก็มักจะหมายถึงการส่งออกของนิวซีแลนด์ไปยังประเทศจีนที่จะน้อยลง และส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและค่าเงิน อีกปัจจัยหนึ่งที่ทําให้ NZD เคลื่อนไหวอย่างเจาะจงคือราคานม เนื่องจากอุตสาหกรรมนมเป็นสินค้าส่งออกหลักของนิวซีแลนด์ ราคานมที่สูงช่วยเพิ่มรายได้จากการส่งออก ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและต่อสกุลเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์
ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ตั้งเป้าที่จะบรรลุและรักษาอัตราเงินเฟ้อระหว่าง 1% ถึง 3% ในระยะกลาง โดยมุ่งเน้นที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ใกล้จุดกึ่งกลางที่ 2% ด้วยเหตุนี้ธนาคารจึงจะกําหนดระดับอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงเกินไป RBNZ จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อทําให้เศรษฐกิจเย็นตัวลง แล้วการดำเนินการดังกล่าวจะทําให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นเพิ่มความน่าสนใจของนักลงทุนที่จะลงทุนในประเทศและช่วยหนุนค่าเงิน NZD ในทางตรงกันข้าม อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงมีแนวโน้มที่จะทำให้ NZD อ่อนค่าลง ด้านส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยหรือที่เรียกว่า Rate Differential ในนิวซีแลนด์คือระดับของอัตราดอกเบี้ยในนิวซีแลนด์หรือที่ธนาคารกลางคาดการณ์ เทียบกับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นหรือกําหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐ ยังสามารถมีบทบาทสําคัญในการขยับคู่เงิน NZD/USD
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจระดับมหภาคในนิวซีแลนด์เป็นกุญแจสําคัญในการประเมินสถานะทางเศรษฐกิจและอาจส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าของดอลลาร์นิวซีแลนด์ได้ เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งบนพื้นฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง การว่างงานต่ำและความเชื่อมั่นนักลงทุนที่สูงเป็นปัจจัยบวกสําหรับ NZD การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและอาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหากความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจนี้มาพร้อมกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ในทางกลับกันหากข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนแอ สกุลเงิน NZD ก็มีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) มีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ต้องมีความกล้าเสี่ยง หรือแม้เมื่อนักลงทุนรับรู้ว่าความกล้าเสี่ยงของด้านตลาดในวงกว้างอยู่ในระดับต่ำแต่มีการมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตการเติบโต สถานการณ์นี้ก็มีแนวโน้มที่จะนําไปสู่แนวโน้มเชิงบวกมากขึ้นสําหรับสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ และสกุลเงินแบบที่เรียกว่า 'สกุลเงินสายสินค้าโภคภัณฑ์' อย่างเช่นกีวีด้วย NZD มีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงในช่วงเวลาที่ตลาดปั่นป่วนหรือมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เนื่องจากนักลงทุนมักจะขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและหลบไปถือสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีเสถียรภาพมากกว่า