ในช่วงเช้าของตลาดลงทุนยุโรปวันจันทร์ คู่ NZDUSD เผชิญแรงขายที่ประมาณ 0.5805 ความต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) ที่กลับมาอีกครั้งและข้อมูลเงินเฟ้อผู้บริโภคของจีนที่น่าผิดหวังส่งผลกระทบต่อคู่สกุลเงินนี้ รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพฤศจิกายนของสหรัฐฯ จะเป็นไฮไลท์ในวันพุธนี้
ข้อมูลเงินเฟ้อ CPI ของจีนแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือนในเดือนพฤศจิกายน บ่งชี้ว่ามาตรการล่าสุดของปักกิ่งในการกระตุ้นความต้องการทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอมีผลกระทบน้อย ซึ่งส่งผลกระทบต่อดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) ที่เป็นตัวแทนเศรษฐกิจของจีน เนื่องจากจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของนิวซีแลนด์
นอกจากนี้ ภาษีศุลกากรใหม่ที่อาจเกิดขึ้นจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ได้รับเลือกตั้งแล้วอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ อาจสร้างแรงกดดันต่อคู่ NZDUSD ในวันจันทร์ Fitch Ratings ปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจของจีนในปี 2025 ลงเหลือ 4.3% จาก 4.5% โดยอ้างถึงความเสี่ยงของภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นต่อสินค้าจีน
ในด้านของ USD เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ดูเหมือนจะอยู่ในเส้นทางที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมหลังจากข้อมูลแสดงให้เห็นว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งแต่ยังคงชะลอตัวลงในเดือนพฤศจิกายน ตามเครื่องมือ FedWatch ของ CME Group ตลาดในปัจจุบันเห็นความเป็นไปได้ 85.1% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 จุดเบสิส (bps) ในเดือนนี้
นักลงทุนในตลาดส่วนใหญ่เชื่อแน่นอนแล้วว่าเฟดจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในสัปดาห์หน้า นักวิเคราะห์เชื่อว่าเงินดอลลาร์สหรัฐอาจเผชิญกับการปิดออเดอร์เพื่อทำกำไรหลังจากการปรับตัวขึ้นอย่างยาวนานในช่วงสี่สัปดาห์นับตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งอาจจำกัดการอ่อนค่าของคู่ NZDUSD
อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์จะมุ่งเน้นไปที่รายงานเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในวันพุธเพื่อหาแรงกระตุ้นใหม่ "ข้อมูลเงินเฟ้ออาจกำหนดว่าเราจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่เข้มงวดจากผู้กำหนดนโยบายของสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้าหรือไม่ ซึ่งอาจยังคงเห็นเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นหากเฟดจะสร้างสถานการณ์สำหรับการหยุดกระบวนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงต้นปี 2025" Yeap Jun Rong นักยุทธศาสตร์ตลาดของ IG กล่าว
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) หรือที่เรียกกันในชื่อเล่นว่ากีวี เป็นสกุลเงินที่ซื้อขายกันดีในหมู่นักลงทุน มูลค่าของสกุลเงินดังกล่าวถูกกําหนดโดยความแข็งแรงของเศรษฐกิจนิวซีแลนด์และนโยบายจากธนาคารกลางภายในประเทศ ถึงกระนั้น ก็มีปัจจัยเฉพาะบางอย่างที่สามารถทําให้ NZD เคลื่อนไหวได้อย่างเช่น ผลการดําเนินงานของเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่จะขยับราคากีวี เนื่องจากจีนเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของนิวซีแลนด์ เช่นหากมีข่าวร้ายสําหรับเศรษฐกิจจีนก็มักจะหมายถึงการส่งออกของนิวซีแลนด์ไปยังประเทศจีนที่จะน้อยลง และส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและค่าเงิน อีกปัจจัยหนึ่งที่ทําให้ NZD เคลื่อนไหวอย่างเจาะจงคือราคานม เนื่องจากอุตสาหกรรมนมเป็นสินค้าส่งออกหลักของนิวซีแลนด์ ราคานมที่สูงช่วยเพิ่มรายได้จากการส่งออก ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและต่อสกุลเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์
ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ตั้งเป้าที่จะบรรลุและรักษาอัตราเงินเฟ้อระหว่าง 1% ถึง 3% ในระยะกลาง โดยมุ่งเน้นที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ใกล้จุดกึ่งกลางที่ 2% ด้วยเหตุนี้ธนาคารจึงจะกําหนดระดับอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงเกินไป RBNZ จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อทําให้เศรษฐกิจเย็นตัวลง แล้วการดำเนินการดังกล่าวจะทําให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นเพิ่มความน่าสนใจของนักลงทุนที่จะลงทุนในประเทศและช่วยหนุนค่าเงิน NZD ในทางตรงกันข้าม อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงมีแนวโน้มที่จะทำให้ NZD อ่อนค่าลง ด้านส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยหรือที่เรียกว่า Rate Differential ในนิวซีแลนด์คือระดับของอัตราดอกเบี้ยในนิวซีแลนด์หรือที่ธนาคารกลางคาดการณ์ เทียบกับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นหรือกําหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐ ยังสามารถมีบทบาทสําคัญในการขยับคู่เงิน NZD/USD
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจระดับมหภาคในนิวซีแลนด์เป็นกุญแจสําคัญในการประเมินสถานะทางเศรษฐกิจและอาจส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าของดอลลาร์นิวซีแลนด์ได้ เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งบนพื้นฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง การว่างงานต่ำและความเชื่อมั่นนักลงทุนที่สูงเป็นปัจจัยบวกสําหรับ NZD การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและอาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหากความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจนี้มาพร้อมกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ในทางกลับกันหากข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนแอ สกุลเงิน NZD ก็มีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) มีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ต้องมีความกล้าเสี่ยง หรือแม้เมื่อนักลงทุนรับรู้ว่าความกล้าเสี่ยงของด้านตลาดในวงกว้างอยู่ในระดับต่ำแต่มีการมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตการเติบโต สถานการณ์นี้ก็มีแนวโน้มที่จะนําไปสู่แนวโน้มเชิงบวกมากขึ้นสําหรับสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ และสกุลเงินแบบที่เรียกว่า 'สกุลเงินสายสินค้าโภคภัณฑ์' อย่างเช่นกีวีด้วย NZD มีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงในช่วงเวลาที่ตลาดปั่นป่วนหรือมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เนื่องจากนักลงทุนมักจะขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและหลบไปถือสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีเสถียรภาพมากกว่า