นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เชิญคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.), และสมาคมธนาคารไทยเข้าหารือที่ทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 13 มีนาคมนี้ เพื่อเตรียมรับมือนโยบายทรัมป์ 2.0 ของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการค้าของไทย เช่น มาตรการทางภาษี เพื่อลดการขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ
ที่ผ่านมา กกร. ได้เสนอให้รัฐบาลจัดตั้งทีมเฉพาะกิจที่ประกอบด้วยตัวแทนจากภาครัฐและเอกชนที่มีอำนาจตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เพื่อร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์ในการเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ ก่อนที่ภาคส่งออกของไทยจะได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ยังเสนอให้รัฐชี้แจงว่าสหรัฐฯ ได้เปรียบดุลการค้าในภาคบริการกับไทยในหลายด้าน เช่น บริการดิจิทัลและค่าบริหารจัดการลิขสิทธิ์
ในแง่ของการปรับดุลการค้า กกร. ยังแนะนำให้ไทยเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ขาดแคลน เช่น สินค้าเกษตร อาหาร และพลังงาน อย่างเช่น พืชอาหารสัตว์ อาหารทะเล เพื่อช่วยสนับสนุนการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร นอกจากนี้ รัฐควรมาตรการเข้มงวดในการควบคุมการนำเข้าสินค้า โดยเฉพาะสินค้าไม่ได้มาตรฐานหรือราคาถูกเกินไป เพื่อป้องกันการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยคาดการณ์ว่าการขึ้นกำแพงภาษีสินค้าของสหรัฐฯ ที่มีต่อแคนาดา เม็กซิโก และจีน จะส่งผลกระทบทางอ้อมต่อไทย มูลค่าความเสียหาย 20,000-25,000 ล้านบาท ส่งผลให้ GDP ของไทยลดลง 0.1-0.5% ส่วนการขึ้นภาษีรถยนต์จะกระทบ 60,000-65,000 ล้านบาท ทำให้ GDP ลดลง 0.35-0.40% หากสหรัฐฯ เพิ่มภาษีสินค้าจากไทยและทั่วโลก คาดว่าผลกระทบต่อการส่งออกไทยจะอยู่ที่ 100,000-150,000 ล้านบาท ทำให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้เติบโตได้เพียง 2.3-2.5% เท่านั้น