Investing.com - ในขณะที่ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมบังคับใช้ภาษีใหม่ในวงกว้าง ผู้บริโภคชาวอเมริกันก็อาจต้องเผชิญผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมาก ตามรายงานการวิจัยล่าสุดจาก ING
ข้อเสนอของทรัมป์นั้นรวมไปถึงการเพิ่มภาษีถึง 60% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน และอีก 10-20% สำหรับสินค้าจากประเทศอื่น ๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการผลิตภายในประเทศและลดการพึ่งพาสินค้านำเข้า
อย่างไรก็ตาม ING ได้เตือนว่ามาตรการเหล่านี้อาจส่งผลให้ต้นทุนผู้บริโภคสูงขึ้นอย่างมาก
“เมื่อพิจารณาจากรายได้ส่วนบุคคลที่สามารถใช้จ่ายได้ (Disposable Personal Income) ในสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 20.547 ล้านล้านดอลลาร์ ภาษีเหล่านี้จะคิดเป็น 2.6% ถึง 3.9% ของรายได้ส่วนบุคคล หากภาษีถูกส่งผ่านไปยังผู้บริโภคทั้งหมด เทียบเท่ากับ 1,500 ถึง 2,400 ดอลลาร์ต่อคน” ING ระบุ
พวกเขาอธิบายว่านี่จะเป็นภาระที่สำคัญ เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคนั้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ถึง 70%
โดยตัวอย่างจากอดีตนั้นได้สนับสนุนคำเตือนนี้ โดย ING ชี้ว่าในปี 2018 ภาษี 20% สำหรับเครื่องซักผ้านำเข้า ส่งผลให้ราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 12% ภายในไม่กี่เดือน แสดงให้เห็นว่าต้นทุนมักถูกส่งต่อผ่านห่วงโซ่อุปทาน
“ผู้บริโภคต้องรับภาระต้นทุนจากภาษีสินค้าต่างประเทศกว่า 60%” ING ระบุ
แม้ว่าภาษีจะช่วยเพิ่มรายได้จากศุลกากรอย่างมาก โดยสร้างรายได้ได้ถึง 257 พันล้านดอลลาร์จากการจัดเก็บภาษีในยุคทรัมป์ตั้งแต่ปี 2018 แต่รายได้ดังกล่าวก็ได้ถูกหักลบด้วยราคาผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น
ING ชี้ให้เห็นว่าภาษีทำหน้าที่เหมือนภาษีทางอ้อมที่ลดรายได้ส่วนบุคคลและจำกัดตัวเลือกของผู้บริโภค
พวกเขาคาดการณ์ว่าหากนำภาษีที่ทรัมป์เสนอไปใช้กับสินค้านำเข้ามูลค่า 3.1 ล้านล้านดอลลาร์ รายได้จากศุลกากรก็อาจเพิ่มขึ้นถึง 790 พันล้านดอลลาร์ แต่จะมาพร้อมกับต้นทุนที่สูงสำหรับครัวเรือน ซึ่งเท่ากับ 2.6-3.9% ของรายได้ส่วนบุคคล
ING เตือนว่านโยบายดังกล่าวอาจกระตุ้นเงินเฟ้อ โดยอาจเพิ่มอัตราเงินเฟ้ออีก 1 เปอร์เซ็นต์จากระดับปัจจุบัน
“การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคถือเป็นหนึ่งในเหตุผลที่การเพิ่มภาษีไม่สามารถเป็นแหล่งรายได้หลักของรัฐบาลได้” ING สรุป พร้อมเน้นถึงความท้าทายทางเศรษฐกิจที่นโยบายเหล่านี้อาจก่อให้เกิด