ตราสารทางการเงิน: มีอะไรบ้าง พามือใหม่เข้าใจครบจบในที่เดียว

อัพเดทครั้งล่าสุด
coverImg
แหล่งที่มา: DepositPhotos

ในโลกของการลงทุนและการเงิน การทำความเข้าใจ "ตราสารทางการเงิน" เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทั้งนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจด้านการบริหารเงินทุน ตราสารทางการเงินนั้นเปรียบเสมือนเครื่องมือที่ช่วยให้การเคลื่อนไหวของเงินทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ความต้องการทางการเงินไม่ว่าจะเป็นการสร้างผลตอบแทน การป้องกันความเสี่ยง บทความนี้มุ่งเน้นให้ความรู้ที่ชัดเจน เข้าใจง่าย เพื่อให้นักลงทุนนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ

ตราสารทางการเงิน คืออะไร

ตราสารทางการเงิน คือ เอกสารที่แสดงถึงสิทธิและความรับผิดชอบทางการเงินระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยมีมูลค่าที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามปัจจัยต่างๆ เช่น ตลาด สภาพเศรษฐกิจ หรือความต้องการของผู้ซื้อและผู้ขาย หรือเปรียบเทียบง่ายๆ: คิดว่าตราสารทางการเงินเหมือนใบสัญญาที่บอกว่าคุณมีสิทธิ์อะไรบ้างในสินทรัพย์นั้นๆ เช่น หุ้นก็คือใบสัญญาที่บอกว่าคุณเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของบริษัทนั้นๆ


- ตราสารทางการเงินที่มีความซับซ้อน เป็นเครื่องมือการลงทุนที่มีโครงสร้างทางการเงินหลายชั้นและมีความเสี่ยงสูงขึ้น เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์และความรู้เพียงพอ ตัวอย่าง ได้แก่ ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) ตราสารหนี้แบบแปลงสภาพ (Convertible Bonds) เป็นต้น


- ตราสารทางการเงินที่ไม่ซับซ้อน มักเป็นเครื่องมือทางการเงินที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับนักลงทุนทั่วไปหรือผู้เริ่มต้น เพราะมีความเสี่ยงที่สามารถเข้าใจและประเมินได้ง่าย ตราสารเหล่านี้มักมีโครงสร้างที่ชัดเจนและไม่ซับซ้อน ตัวอย่างได้แก่ หุ้น (Stocks) พันธบัตร (Bonds) เงินฝากประจำ (Fixed Deposits) กองทุนรวม (Mutual Funds) เป็นต้น

ประเภทของตราสารทางการเงิน

นักลงทุนควรความเข้าใจประเภทของตราสารทางการเงินจะช่วยให้นักลงทุนเลือกตราสารที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่รับได้ แบ่งเป็นดังนี้


1. ตราสารทุน (Equity Securities)


หุ้น (Stocks): เป็นส่วนหนึ่งของกรรมสิทธิ์ในบริษัท ผู้ถือหุ้นมีสิทธิร่วมในการตัดสินใจสำคัญของบริษัท และมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งกำไรในรูปของเงินปันผล หุ้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ หุ้นสามัญ มีสิทธิออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้น และมีสิทธิได้รับเงินปันผลและหุ้นบุริมสิทธิ คือ ไม่มีสิทธิออกเสียง แต่มีสิทธิได้รับเงินปันผลก่อนหุ้นสามัญ


ใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrants): เป็นตราสารที่ให้สิทธิแก่ผู้ถือในการซื้อหุ้นของบริษัทในราคาที่กำหนดไว้ภายในระยะเวลาที่กำหนด


2. ตราสารหนี้ (Debt Securities)


พันธบัตร (Bonds): เป็นตราสารที่แสดงถึงหนี้สินที่รัฐบาลหรือบริษัทเอกชนกู้ยืมมา โดยผู้ถือพันธบัตรจะได้รับดอกเบี้ยเป็นระยะ และเมื่อครบกำหนดจะได้รับเงินต้นคืน

หุ้นกู้ (Corporate Bonds): เป็นพันธบัตรที่ออกโดยบริษัทเอกชน

ตั๋วเงิน (Bills): เป็นตราสารหนี้ระยะสั้น มักมีอายุไม่เกิน 1 ปี


3. ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives)


- ฟิวเจอร์ส (Futures): เป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ต้องทำการซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคตตามราคาที่ตกลงกันไว้

- ออปชัน (Options): เป็นสัญญาที่ให้สิทธิในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคตตามราคาที่กำหนดไว้ โดยไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามสัญญาเสมอไป

- สวอป (Swaps): เป็นสัญญาแลกเปลี่ยนกระแสเงินสดในอนาคต


4. ตราสารอื่นๆ


กองทุนรวม (Mutual Funds): เป็นนิติบุคคลที่รวบรวมเงินจากผู้ลงทุนจำนวนมากมาลงทุนในตราสารทางการเงินประเภทต่างๆ

ETF (Exchange Traded Fund): เป็นกองทุนรวมที่ซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์

REITs (Real Estate Investment Trusts): เป็นบริษัทที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน


ตารางแสดงเปรียบเทียบตราสารการเงินรูปแบบต่างๆ

ประเภทตราสาร

ความเสี่ยง

รูปแบบผลตอบแทน

สิ่งที่ต้องระวัง

หุ้น

สูง

ปันผล ,ส่วนต่างราคา

ความผันผวนตลาด

พันธบัตร

ต่ำ

ดอกเบี้ย

ผลตอบแทนน้อย

หุ้นกู้

ต่ำ

ดอกเบี้ย

ผิดชำระหนี้เมื่อ DUE

สัญญาส่วนต่าง(CFD)

สูง

ส่วนต่างราคา

ใช้เลเวอเรจไม่เหมาะสม

ETF

        ปานกลาง

ส่วนต่างหน่วยลงทุน

  ความผันผวนตลาด

ข้อดีข้อเสียของตราสารทางการเงิน

ตราสารทางการเงินมีบทบาทสำคัญในตลาดการเงินและการลงทุน ซึ่งแต่ละประเภทของตราสารมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการและระดับความเสี่ยงของนักลงทุน ต่อไปนี้คือข้อดีและข้อเสียโดยรวมของตราสารทางการเงิน:


ข้อดีของตราสารทางการเงิน:

✅ ความหลากหลายในการลงทุน เช่น หุ้น พันธบัตร ตราสารอนุพันธ์ ซึ่งแต่ละประเภทมีระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ต่างกัน ทำให้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนตามเป้าหมายและความเสี่ยงที่ยอมรับได้


✅ สภาพคล่อง (Liquidity) ตราสารทางการเงินหลายประเภท สามารถซื้อขายในตลาดได้ ทำให้มีสภาพคล่องสูง นักลงทุนสามารถเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็ว


 กระจายความเสี่ยง สามารถกระจายความเสี่ยงได้ดี โดยไม่ต้องนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งทั้งหมด เช่น กองทุนรวมที่ลงทุนในหลายสินทรัพย์ ทำให้นักลงทุนลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการขาดทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง


✅ รายได้สม่ำเสมอ ตราสารหนี้ เช่น พันธบัตร หรือเงินฝากประจำ ให้ผลตอบแทนในรูปแบบดอกเบี้ยที่จ่ายเป็นประจำ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรายได้ที่มั่นคง เช่น ผู้ที่ต้องการรายได้ระยะยาวในวัยเกษียณ


ข้อเสียของตราสารทางการเงิน:

ความเสี่ยงจากการลงทุน แม้ตราสารทางการเงินบางประเภทจะให้ผลตอบแทนที่สูง เช่น หุ้น แต่ก็มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะจากความผันผวนของตลาด ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนสูญเสียเงินลงทุนบางส่วนหรือทั้งหมดได้


❌ ความซับซ้อน ตราสารบางประเภท เช่น ตราสารอนุพันธ์ (ฟิวเจอร์ส ออปชั่น) หรือ Structured Notes มีโครงสร้างที่ซับซ้อน และนักลงทุนต้องมีความรู้และความเข้าใจในการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจทำให้มือใหม่รู้สึกสับสนหรือประเมินความเสี่ยงได้ไม่ดีพอ


 ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ ตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรบริษัท มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ หากบริษัทผู้ออกตราสารประสบปัญหาทางการเงิน ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนไม่ได้รับดอกเบี้ยหรือเงินต้นตามที่กำหนด


❌ ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย การลงทุนในตราสารทางการเงินบางประเภท เช่น กองทุนรวม มีค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการ ซึ่งอาจลดทอนผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับหากค่าธรรมเนียมสูงเกินไป

วิธีการเลือกตราสารทางการเงินที่เหมาะสม

การเลือกตราสารทางการเงินที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการลงทุนที่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากแต่ละตราสารมีลักษณะเฉพาะที่ต่างกัน ทั้งในแง่ของความเสี่ยง ผลตอบแทน และเป้าหมายการลงทุน ต่อไปนี้คือแนวทางในการเลือกตราสารทางการเงินที่เหมาะสม:


1. กำหนดเป้าหมายการลงทุน

การเลือกตราสารทางการเงินควรเริ่มจากการตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน เช่น


  • ร้างรายได้ที่มั่นคง: หากต้องการรายได้สม่ำเสมอ ตราสารหนี้อย่างพันธบัตรหรือเงินฝากประจำอาจเหมาะสม

  • การเติบโตของเงินทุน: หากคุณต้องการการเติบโตในระยะยาว เช่น การเพิ่มมูลค่าของเงินทุน การลงทุนในหุ้นอาจเหมาะสมเพราะมีศักยภาพในการเติบโตสูง

  • การป้องกันความเสี่ยง: สำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงจากตลาด อาจเลือกใช้ตราสารอนุพันธ์เช่น ออปชั่น หรือสวอป


2. ประเมินระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

ความเสี่ยงของแต่ละตราสารทางการเงินมีความแตกต่างกัน ควรเลือกตราสารที่สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่คุณสามารถยอมรับได้:


  • ความเสี่ยงต่ำ: เงินฝากประจำ พันธบัตรรัฐบาล หรือตั๋วเงินคลัง ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ แต่ผลตอบแทนอาจไม่สูงมาก

  • ความเสี่ยงปานกลาง: หุ้นกู้ หรือกองทุนรวมที่ลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท

  • ความเสี่ยงสูง: หุ้น ตราสารอนุพันธ์ หรือตราสารหนี้ที่มีเครดิตต่ำ ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงแต่มีความเสี่ยงสูงตาม


3. คำนึงถึงระยะเวลาการลงทุน

  • ระยะสั้น: หากต้องการใช้เงินในอนาคตอันใกล้ ตราสารที่มีระยะเวลาสั้นและสภาพคล่องสูง เช่น ตั๋วเงินคลังหรือพันธบัตรระยะสั้น อาจเป็นทางเลือกที่ดี

  • ระยะกลางถึงระยะยาว: การลงทุนในหุ้นหรือพันธบัตรระยะยาวมักให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าในระยะยาว


4.ตราสารทางการเงินที่ดีที่สุดสำหรับการเทรด

การเลือกตราสารทางการเงินสำหรับการเทรดที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความรู้ของผู้เทรด ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และวัตถุประสงค์ของการเทรด ต่อไปนี้คือกลุ่มตราสารทางการเงินที่นิยมสำหรับการเทรด ตัวอย่างตราสารทางการเงินยอดนิยม


1. หุ้น (Stocks) การเทรดหุ้นคือการซื้อและขายหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์


ข้อดีมีโอกาสทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นและเงินปันผลและ เหมาะสำหรับ: ผู้เทรดที่ต้องการลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตในระยะยาว


2. ฟอเร็กซ์ (Forex) หรือการเทรดสกุลเงิน ในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ มีข้อดีคือ ตลาดฟอเร็กซ์เปิดทำการ 24 ชั่วโมง และมีสภาพคล่องสูง รวมถึงเหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการเทรดระยะสั้นและใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อทำกำไร เช่น คู่เงิน USD/JPY EUR/USD และUSD/THB เป็นต้น 


3. สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) คือ สัญญาที่ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายมีข้อผูกพันในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ที่ราคากำหนดไว้ล่วงหน้า ช่วยนักลงทุนให้การบริหารความเสี่ยงโดยการป้องกันความผันผวนของราคา เหมาะกับผู้เทรดที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงในสินค้าจำพวกสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน ทองคำ


4. CFD (Contract for Difference) หรือสัญญาส่วนต่างเป็นตราสารอนุพันธ์ที่ช่วยให้ผู้เทรดสามารถเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์โดยไม่ต้องถือสินทรัพย์จริง


และเป็นตราสารทางการเงินที่ยอดนิยมในปัจจุบัน จุดเด่นคือ ใช้เลเวอเรจได้สูง ทำให้สามารถทำกำไรได้แม้มีเงินทุนเริ่มต้นน้อย รวมถึงสามารถเทรดทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง ตามสภาพตลาด เหมาะกับผู้ที่ต้องการเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น หุ้น ฟอเร็กซ์ ทองคำ หุ้นสหรัฐ เป็นต้น


ราคา XAUUSD แบบเรียลไทม์


mitrade
💸 ห้ามพลาด!!! 💸
แจกโบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์! 🎁🎁🎁

ค่าคอมฯ 0 สเปรดต่ำ! เงินฝากขั้นต่ำ $50 🤑
ฝึกเทรดด้วยเงินเสมือนจริง $50, 000 ฟรี 💰
การลงทุนมีความเสี่ยง อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน

5. ETF (Exchange-Traded Funds) กองทุนที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งติดตามผลการดำเนินงานของดัชนีหรือกลุ่มสินทรัพย์ ทำให้การกระจายความเสี่ยงและต้นทุนในการเทรดต่ำ เน้นนักลงทุนที่ต้องการการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน

ข้อควรระวังสำหรับมือใหม่ สำหรับลงทุนในตราสารการเงิน

การลงทุนในตราสารการเงินมีความเสี่ยงที่มือใหม่ควรระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนหรือความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น นี่คือข้อควรระวังที่สำคัญสำหรับมือใหม่:


ศึกษาข้อมูลก่อนลงทุน

  • เหตุผล: การไม่รู้จักตราสารที่ลงทุนอย่างถ่องแท้สามารถนำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาด

  • ข้อควรทำ: อ่านและศึกษาเกี่ยวกับตราสารที่สนใจ เช่น หุ้น ฟอเร็กซ์ หรือพันธบัตร เรียนรู้เกี่ยวกับตลาดและเครื่องมือการเทรด รวมถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาของตราสารเหล่านั้น


เริ่มต้นด้วยเงินทุนที่น้อย

  • เหตุผล: การลงเงินมากเกินไปในครั้งแรกสามารถทำให้เกิดการสูญเสียที่ใหญ่โดยไม่จำเป็น

  • ข้อควรทำ: เริ่มด้วยเงินทุนที่คุณสามารถยอมรับได้หากเกิดการขาดทุน และควรเป็นเงินที่ไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน


หลีกเลี่ยงการใช้เลเวอเรจ (Leverage) สูงเกินไป เพราะเลเวอเรจหรืออัตราทดทำให้คุณ

สามารถใช้เงินลงทุนมากกว่าที่คุณมีจริง ซึ่งเพิ่มโอกาสทั้งการทำกำไรและการขาดทุน ดังนั้นควรใช้เลเวอเรจในระดับต่ำเพื่อป้องกันการขาดทุนมากเกินไปในช่วงที่ตลาดผันผวน

สรุป

ตราสารทางการเงินเปรียบเสมือนกุญแจสำคัญที่ไขไปสู่โลกแห่งการลงทุนและการสร้างความมั่งคั่ง ไม่ว่าจะเป็นหุ้น พันธบัตร หรือตราสารอนุพันธ์ ต่างก็มีเอกลักษณ์และศักยภาพที่แตกต่างกันออกไป การทำความเข้าใจถึงกลไกและความเสี่ยงของแต่ละตราสาร จะช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายและตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คำถามที่พบบ่อย

ตราสารการเงินที่ไม่ซับซ้อน คืออะไร

คือเครื่องมือทางการเงินที่เข้าใจง่าย ไม่มีกระบวนการที่ยุ่งยาก เหมาะสำหรับนักลงทุนทั่วไปหรือผู้เริ่มต้นลงทุน เพราะมีความเสี่ยงที่สามารถเข้าใจและประเมินได้ง่าย เช่น หุ้น พันธบัตร เงินฝากประจำ  เป็นต้น

นักลงทุนประเภทไหนเหมาะกับตราสารการเงินประเภทสัญญาส่วนต่าง (CFD)

ตราสารการเงินประเภท CFD หรือสัญญาส่วนต่าง ถือว่ามีความเสี่ยงสูง และใช้เงินลงทุนเริ่มต้นที่ไม่มาก เพราะมีเลเวอเรจช่วยให้ขนาดของเงินต้นมากขึ้น ดังนั้นเหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มาก และเข้าใจในลักษณะของการจัดการเงินทุนที่ดี

ทำไมนักลงทุนจึงควรศึกษารูปแบบต่างๆของตราสารการเงินให้เข้าใจ

ช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายและตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งผลตอบแทนและควบคุมความเสี่ยง เพราแต่ละตราสารการเงินมีจุดเด่นและข้อจำกัดแตกต่างกัน

*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา


การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

goTop
quote
บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่?
บทความที่เกี่ยวข้อง
placeholder
หาเงินออนไลน์ ถูกกฎหมาย! แนะนำ 9 วิธีหาเงินออนไลน์การหาเงินหลักล้านไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปในยุคที่ไร้พรมแดนและทุกคนสามารถเข้าถึงสื่อโซเชียลมีเดียได้อย่างเท่าเทียมกัน ห้ามพลาดกับวิธีหาเงินออนไลน์ทั้ง 9 แบบที่เรานำมาฝาก
ผู้เขียน  MitradeInsights
วันที่ 28 พ.ย. 2023
การหาเงินหลักล้านไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปในยุคที่ไร้พรมแดนและทุกคนสามารถเข้าถึงสื่อโซเชียลมีเดียได้อย่างเท่าเทียมกัน ห้ามพลาดกับวิธีหาเงินออนไลน์ทั้ง 9 แบบที่เรานำมาฝาก
placeholder
วิธีดูกราฟราคาทองที่นักลงทุนทองคำต้องรู้ ฉบับมือใหม่ต้องอ่านบทความนี้จะแนะนำวิธีดูกราฟราคาทองสำหรับมือใหม่ ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจแนวโน้มตลาด และระบุจังหวะการซื้อขายที่เหมาะสม
ผู้เขียน  MitradeInsights
วันที่ 01 มิ.ย. 2023
บทความนี้จะแนะนำวิธีดูกราฟราคาทองสำหรับมือใหม่ ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจแนวโน้มตลาด และระบุจังหวะการซื้อขายที่เหมาะสม
placeholder
ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) และ ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) คืออะไร และ มีอะไรบ้างต้นทุนในธุรกิจ ทั้งต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปร เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ บทความนี้ เรามาทำความรู้จักกันว่า ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) และ ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) คืออะไร และมีอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลย
ผู้เขียน  MitradeInsights
3 เดือน 01 วัน ศุกร์
ต้นทุนในธุรกิจ ทั้งต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปร เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ บทความนี้ เรามาทำความรู้จักกันว่า ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) และ ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) คืออะไร และมีอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลย
placeholder
10 อันดับแอพหาเงินสร้างรายได้เสริมปี 2024ยังจำเป็นอยู่ไหมกับการทำงานกินเงินเดือนที่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน ปัจจุบันที่ใคร ๆ ต่างก็นั่งทำงานหารายได้จากหลายช่องทางต้องบอกว่าหมดยุคแล้วกับตอกบัตรเข้าออฟฟิศ และนี่คือทั้งหมดของแอพหาเงินที่เรารวบรวมมาเป็นตัวเลือกสำหรับการสร้างรายได้แบบง่าย ๆ ที่บ้านสำหรับปีนี้ที่เรานำมาฝากกัน
ผู้เขียน  MitradeInsights
วันที่ 30 ส.ค. 2023
ยังจำเป็นอยู่ไหมกับการทำงานกินเงินเดือนที่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน ปัจจุบันที่ใคร ๆ ต่างก็นั่งทำงานหารายได้จากหลายช่องทางต้องบอกว่าหมดยุคแล้วกับตอกบัตรเข้าออฟฟิศ และนี่คือทั้งหมดของแอพหาเงินที่เรารวบรวมมาเป็นตัวเลือกสำหรับการสร้างรายได้แบบง่าย ๆ ที่บ้านสำหรับปีนี้ที่เรานำมาฝากกัน
placeholder
คำสั่ง Long , Short คืออะไร? ​คำสั่ง Long (Buy), Short (Sell) คืออะไร คราวนี้เราก็จะมาพาเทรดเดอร์ทั้งมือเก่าและมือใหม่ไปทำความรู้จักคำสั่งนี้กัน เพื่อคล้าโอกาสการเทรดและทำกำไรจากความผันผวนของตลาดเงินให้มากขึ้น ตามมาดูกันเลย
ผู้เขียน  MitradeInsights
วันที่ 08 มิ.ย. 2023
​คำสั่ง Long (Buy), Short (Sell) คืออะไร คราวนี้เราก็จะมาพาเทรดเดอร์ทั้งมือเก่าและมือใหม่ไปทำความรู้จักคำสั่งนี้กัน เพื่อคล้าโอกาสการเทรดและทำกำไรจากความผันผวนของตลาดเงินให้มากขึ้น ตามมาดูกันเลย
ราคาเสนอแบบเรียลไทม์
ราคาเสนอแบบเรียลไทม์