GDP คืออะไรและสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจอย่างไร?
ทุกครั้งที่ฟังรายงานข่าวเศรษฐกิจภายในประเทศ เรามักจะได้ยินคำว่า “GDP” ภายในประเทศอยู่บ่อยครั้ง หลายคนเองก็พอจะทราบอย่างคร่าวๆว่า GDP คือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศที่เป็นดัชนีตัวชี้วัดสภาวะเศรษฐกิจของประเทศในช่วงแต่ละปีว่าเป็นไปในทิศทางใด แล้วเคยสงสัยไหมว่าทุกครั้งที่มีการรายงานตัวเลข GDP ทำไมถึงส่งผลต่อความผันผวนในตลาดลงทุนอย่าง SET Index อีกด้วย วันนี้เราจะพาทุกคนมาทำการศึกษาอย่างละเอียดว่า GDP คืออะไร สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจอย่างไร และทำไมถึงสำคัญต่อตลาดลงทุน
GDP คืออะไร
GDP คือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศมูลค่าทางการเงินหรือตลาดรวมของสินค้าและบริการสำเร็จรูปทั้งหมดที่ผลิตภายในประเทศในช่วงเวลาที่กำหนด เนื่องจากเป็นตัวชี้วัดการผลิตภายในประเทศโดยรวม จึงทำหน้าที่เป็นดัชนีชี้วัดที่ครอบคลุมเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่กำหนด
แม้ว่าโดยทั่วไป GDP จะได้รับการคำนวณเป็นรายปี แต่บางครั้งก็มีการคำนวณเป็นรายไตรมาสด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา รัฐบาลจะเผยแพร่ประมาณการ GDP แบบรายปีสำหรับแต่ละไตรมาสบัญชีและสำหรับปีปฏิทินด้วย ชุดข้อมูลแต่ละชุดที่รวมอยู่ในรายงานนี้ให้ไว้ตามความเป็นจริง ดังนั้นข้อมูลจึงได้รับการปรับปรุงตามการเปลี่ยนแปลงของราคา และถือเป็นสุทธิจากอัตราเงินเฟ้อนั่นเอง
ความหมายสำคัญเกี่ยวกับ GDP
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศคือมูลค่าตัวเงินของสินค้าและบริการสำเร็จรูปทั้งหมดที่ผลิตภายในประเทศในช่วงเวลาหนึ่งๆ
GDP แสดงภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งใช้ในการประมาณขนาดของเศรษฐกิจและอัตราการเติบโต
GDP สามารถคำนวณได้สามวิธี โดยใช้ค่าใช้จ่าย การผลิต หรือรายได้ และสามารถปรับอัตราเงินเฟ้อและประชากรเพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
แม้ว่าจะมีข้อจำกัด แต่ GDP ก็ถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการชี้แนะผู้กำหนดนโยบายการเงินภายในประเทศรวมไปถึงกลุ่มนักลงทุนที่จะต้องวิเคราะห์วางแผนการลงทุนในเชิงกลยุทธ์ให้เหมาะสมสำหรับตัวเอง
GDP คำนวณมาจากอะไรบ้าง
เป็นการคำนวณค่าใช้จ่ายภายในประเทศ คือ จะเป็นรูปแบบการคำนวณปัจจัยหลักสำคัญที่ส่วนร่วมที่ส่งผลให้เศรษฐกิจภายในประเทศมีการเติบโตหรือถดถอยโดยตรง เรามักจะพบเห็นสูตรการคำนวณทางเศรษฐศาสตร์อยู่บ่อยครั้ง นั่นก็คือ
GDP = C+G+I+NX
โดยแต่ละตัวอักษรสามารถแทนค่าและมีความหมาย ดังนี้
C (Private Consumption) การบริโภค
หมายถึง การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคภาคเอกชนหรือการใช้จ่ายของผู้บริโภค ผู้บริโภคใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการ เพราะการใช้จ่ายของผู้บริโภคเป็นองค์ประกอบที่ใหญ่ที่สุดของ GDP เนื่องจากว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจึงส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ระดับความเชื่อมั่นที่สูงบ่งชี้ว่าผู้บริโภคเต็มใจที่จะใช้จ่าย ในขณะที่ระดับความเชื่อมั่นต่ำสะท้อนถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตและการไม่เต็มใจที่จะใช้จ่าย
G (Government Spending)
การใช้จ่ายภาครัฐ หมายถึง การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของรัฐบาลและการลงทุนขั้นต้น รัฐบาลใช้จ่ายเงินกับอุปกรณ์ โครงสร้างพื้นฐาน และเงินเดือน การใช้จ่ายภาครัฐอาจมีความสำคัญมากขึ้นเมื่อเทียบกับองค์ประกอบอื่นๆ ของ GDP ของประเทศ เมื่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุนทางธุรกิจลดลงอย่างรวดเร็ว (ซึ่งอาจเกิดขึ้นหลังจากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย เป็นต้น)
I (Private Investment and Government Investment)
การลงทุน หมายถึง การลงทุนภายในประเทศของเอกชนหรือรายจ่ายฝ่ายทุน ธุรกิจใช้จ่ายเงินเพื่อลงทุนในกิจกรรมทางธุรกิจของตน ตัวอย่างเช่น ธุรกิจอาจซื้อเครื่องจักร การลงทุนทางธุรกิจเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของ GDP เนื่องจากจะเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตของเศรษฐกิจและเพิ่มระดับการจ้างงาน
NX (Net exports)
การส่งออกสุทธิจะลบการส่งออกทั้งหมดจากการนำเข้าทั้งหมด (NX = การส่งออก - นำเข้า) สินค้าและบริการที่ระบบเศรษฐกิจทำและส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ หักการนำเข้าที่ผู้บริโภคในประเทศซื้อ จะเป็นตัวแทนของการส่งออกสุทธิของประเทศ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของบริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศที่กำหนด แม้ว่าจะเป็นบริษัทต่างชาติก็ตาม ก็จะถูกนำมาคำนวณด้วยเช่นกัน
ประเภทของ GDP มีอะไรบ้าง
1. Nominal GDP
คือ การประเมินการผลิตทางเศรษฐกิจในระบบเศรษฐกิจที่รวมราคาปัจจุบันไว้ในการคำนวณ กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันไม่ได้ตัดอัตราเงินเฟ้อหรืออัตราการเพิ่มขึ้นของราคา ซึ่งอาจทำให้ตัวเลขการเติบโตขยายตัวได้
สินค้าและบริการทั้งหมดที่นับรวมอยู่ใน GDP ที่ระบุจะมีมูลค่าตามราคาที่สินค้าและบริการเหล่านั้นขายได้จริงในปีนั้น GDP ที่กำหนดจะได้รับการประเมินในสกุลเงินท้องถิ่นหรือดอลลาร์สหรัฐตามอัตราแลกเปลี่ยนของตลาดสกุลเงินเพื่อเปรียบเทียบ GDP ของประเทศในแง่การเงินเพียงอย่างเดียว
Nominal GDP ใช้ในการเปรียบเทียบไตรมาสต่างๆ ของผลผลิตภายในปีเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบ GDP ของสองปีขึ้นไป จะใช้ GDP ที่แท้จริง เนื่องจากแท้จริงแล้ว การกำจัดอิทธิพลของอัตราเงินเฟ้อทำให้การเปรียบเทียบปีต่างๆ มุ่งเน้นไปที่ปริมาณเพียงอย่างเดียว
2. Real GDP
คือ การวัดที่ปรับอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งสะท้อนถึงจำนวนสินค้าและบริการที่เศรษฐกิจหนึ่งๆ ผลิตในปีนั้นๆ โดยที่ราคาจะคงที่ทุกปีเพื่อแยกผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อหรือภาวะเงินฝืดออกจากแนวโน้มของผลผลิตในช่วงเวลาต่างๆ เนื่องจาก GDP ขึ้นอยู่กับมูลค่าทางการเงินของสินค้าและบริการ จึงขึ้นอยู่กับอัตราเงินเฟ้อ
ราคาที่สูงขึ้นมีแนวโน้มที่จะเพิ่ม GDP ของประเทศ แต่ไม่ได้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในปริมาณหรือคุณภาพของสินค้าและบริการที่ผลิต ดังนั้น เมื่อดูที่ GDP ที่ระบุของเศรษฐกิจ อาจเป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ว่าตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นเนื่องจากการขยายการผลิตจริงหรือเพียงเพราะราคาสูงขึ้น
นักเศรษฐศาสตร์ใช้กระบวนการที่ปรับอัตราเงินเฟ้อเพื่อให้ได้ GDP ที่แท้จริงของเศรษฐกิจ ด้วยการปรับผลผลิตในปีใดก็ตามตามระดับราคาที่เกิดขึ้นในปีอ้างอิงซึ่งเรียกว่าปีฐาน นักเศรษฐศาสตร์จะสามารถปรับผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อได้ ด้วยวิธีนี้ คุณสามารถเปรียบเทียบ GDP ของประเทศจากปีหนึ่งไปยังอีกปีหนึ่งได้ และดูว่ามีการเติบโตที่แท้จริงหรือไม่
ทั้งนี้ GDP ที่แท้จริงคำนวณโดยใช้ตัวกำหนดราคา GDP ซึ่งเป็นส่วนต่างของราคาระหว่างปีปัจจุบันและปีฐาน ตัวอย่างเช่น หากราคาเพิ่มขึ้น 5% ตั้งแต่ปีฐาน ค่า deflator จะเป็น 1.05 GDP ที่กำหนดจะถูกหารด้วยตัวลดนี้ ทำให้ได้ GDP ที่แท้จริง GDP ที่กำหนดมักจะสูงกว่า GDP ที่แท้จริง เนื่องจากโดยทั่วไปอัตราเงินเฟ้อจะเป็นตัวเลขที่เป็นบวก
GDP ที่แท้จริงจะคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าตลาด และทำให้ความแตกต่างระหว่างตัวเลขผลผลิตในแต่ละปีแคบลง หากมีความแตกต่างอย่างมากระหว่าง GDP ที่แท้จริงของประเทศกับ GDP ที่ระบุ นี่อาจเป็นตัวบ่งชี้อัตราเงินเฟ้อหรือภาวะเงินฝืดที่มีนัยสำคัญในระบบเศรษฐกิจของประเทศ
GDP สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างไร
เนื่องจากว่าค่าตัวเลขของ GDP จะเป็นตัวบ่งบอกภาพรวมของเศรษฐกิจภายในประเทศในแต่ละช่วงเวลา และเป็นตัวชี้วัดขนาดและอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจว่าเป็นไปในทิศทางใด เพื่อที่จะวางแผนนโยบาย วางแผนการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการ์ณ แม้ว่าการวิเคราะห์ด้วย GDP อาจจะไม่ได้บ่งบอกภาพเศรษฐกิจภายในประเทศแบบ 100% แต่ก็ถือว่าเป็นดัชีตัวสำคัญที่ทำให้ทราบปัญหาพื้นฐานภายในประเทศได้เช่นกัน
GDP สำคัญต่อตลาดทุนอย่างไร
วิเคราะห์การคำนวณหาค่า GDP ที่มีส่วนประกอบมาจากค่า Investment ที่เป็นการลงทุนมาจากภาครัฐและภาคเอกชน กลุ่มบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ล้วนแต่สร้างรายได้เกิดขึ้นภายในประเทศซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักที่ทำให้ค่า GDP เป็นบวกหรือลบนั่นเอง กล่าวคือ เมื่อกลุ่มบริษัทดังกล่าวมีผลประกอบการที่สูงขึ้นก็ส่งผลให้ค่า GDP สูงขึ้น ในทางกลับกันหากผลประกอบการที่ลดลงตัวเลขค่า GDP ก็จะลดลงเช่นกัน จะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์ของดัชนีของ GDP มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหลักทรัพย์ของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ดังรูปภาพด้านล่าง
บทสรุป
เราได้เรียนรู้ด้วยกันแล้วว่า GDP คืออะไร จะเห็นได้ว่า GDP นั้นอาจจะไม่ได้คำนวณภาพรวมของระบบเศรษฐกิจภายในประเทศได้อย่างรัดกุม แต่ก็ถือว่าเป็นข้อมูลสำคัญที่สามารถใช้เพื่อการวางแผนนโยบายทางการเงินภายในประเทศ ตลอดจนถึงการแก้ปัญหาสภาวะเศรษฐกิจพื้นฐานภายประเทศได้ค่อนข้างดี นอกจากนี้หากต้องการที่จะวิเคราะห์สภาวะเศรษฐกิจและสภาวะของตลาดทุนว่าจะเป็นไปในทิศทางใด สามารถหาข้อมูล Data อื่นๆ เพื่อมาใช้ในการวิเคราะห์ได้อีกด้วยเช่นกัน ทางผู้เขียนหวังว่าเนื้อหาในบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านเป็นอย่างมาก
บทความที่คุณอาจจะสนใจด้วย>>> |
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน