EPS คืออะไร นักลงทุนใช้ EPS มาทำอะไรได้บ้าง

อัพเดทครั้งล่าสุด
coverImg
แหล่งที่มา: DepositPhotos

โลกการลงทุนในตลาดหุ้น นักลงทุนควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับตัวชี้วัดทางการเงินที่สำคัญ เพื่อช่วยวิเคราะห์และตัดสินใจในการลงทุนอย่างมีสติ ในหุ้นต่าง ๆ ตัวชี้วัดหนึ่งที่มีความสำคัญมาก และเป็นที่นิยมในวงการการลงทุนคือ "กำไรต่อหุ้น" หรือ "EPS" (Earnings Per Share) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่บอกถึงกำไรที่กิจการทำได้แบ่งตามหุ้นที่ออกขายไว้ในตลาดหุ้น ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง สามารถบ่งบอกถึงศักยภาพของบริษัทนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดีแต่กลับไม่ใช่ตัวชี้วัดเดียวที่ตัดสินชี้ขาดหุ้นแต่ละตัวได้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น 


ซึ่งในบทความนี้จะพาเพื่อนๆ ทุกท่านมาทำความรู้จักทุกอย่างเกี่ยวกับ EPS เช่น EPS คืออะไร คำนวณยังไง ดูยังไง ใช้ยังไงนะ ตามมาดูกันเลย

EPS คืออะไร

EPS ย่อมาจาก Earnings Per Share หรือ กำไรต่อหุ้น คือ อัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio) ที่เปรียบเทียบระหว่าง “กำไรสุทธิ” (Net Profit) ที่ได้จากการดำเนินการทั้งหมดของบริษัท หักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งดอกเบี้ยและภาษีเงินได้เรียบร้อยแล้ว กับ “จำนวนหุ้นบริษัทที่ชำระแล้ว” (Outstanding Shares) ซึ่งบริษัทจำหน่ายในตลาดหุ้นและอยู่ในมือผู้ถือหุ้นเรียบร้อย


วิธีการคำนวณ EPS

EPS คือ อัตราส่วนทางการเงินที่มีผลต่อราคาหุ้นและบริษัทที่ดีควรมี EPS หรือกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว ซึ่งสามารถคำนวณได้จากสูตรนี้


สูตรการคำนวณ EPS


กรณีที่ไม่ทราบจำนวนหุ้นในขณะนั้น สามารถหาจำนวนหุ้นได้จากสูตรต่อไปนี้


จำนวนหุ้นทั้งหมด = มูลค่ารวมของหุ้นในตลาด ณ ขณะนั้น (Market Cap) / ราคาหุ้น ณ ขณะนั้น


ตัวอย่างการคำนวณ EPS


การคำนวณค่า EPS สามารถใช้สูตรการคำนวณได้ ยกตัวอย่างการคำนวณ EPS เช่น 

  • บริษัท AA มีกำไรสุทธิ 1,000,000 บาท มีหุ้นบริษัทที่ชำระแล้ว 1,000 หุ้น แสดงว่า บริษัท AA มีค่า EPS หรือกำไรต่อหุ้น เท่ากับ 1,000,0001,000 = 1,000 บาท


  • บริษัท BB มีกำไรสุทธิ 1,000,000 บาท เช่นกัน มีหุ้นบริษัทที่ชำระแล้ว 2,000 หุ้น แสดงว่า บริษัท BB มีค่า EPS หรือกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 1,000,0002,000 = 500 บาท


  • บริษัท CC มีกำไรสุทธิ 500,000 บาท มีหุ้นบริษัทที่ชำระแล้ว 500 หุ้น แสดงว่าบริษัท CC มีค่า EPS หรือกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 500,000500 = 1,000 บาท


จะเห็นว่า บริษัท AA และบริษัท BB ได้กำไรสุทธิเท่ากันก็จริง แต่มีจำนวนหุ้นบริษัทที่ชำระแล้วแตกต่างกัน โดยบริษัท AA มีจำนวนหุ้นบริษัทที่ชำระแล้วจำนวน 1,000 หุ้น ซึ่งน้อยกว่าของบริษัท BB ทำให้กำไรต่อหุ้นสูงกว่าไปด้วย


ในกรณีของบริษัท CC นั้นถึงแม้จะมีกำไรสุทธิน้อยกว่าบริษัท AA และ บริษัท BB แต่เมื่อคำนวณกำไรต่อหุ้น หรือ EPS เรียบร้อยแล้วกลับมีค่าเท่ากับ 1,000 บาทต่อหุ้น ซึ่งเท่ากับบริษัท AA และมากกว่าบริษัท BB 


แต่ปัญหาที่หลายคนมักเจอคือการคำนวณ EPS ด้วยตัวเอง ค่าที่ได้จะไม่ตรงกับเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์หรืองบการเงินของบริษัท เนื่องจากการคำนวณค่า EPS อย่างเป็นทางการจะใช้สูตรดังนี้


EPS = กำไรสุทธิ / จำนวนหุ้นบริษัทที่ชำระแล้วเฉลี่ยระหว่างปี


ตัวอย่างการคำนวณ EPS จากสถานการณ์จริง 


หากยกตัวอย่างการคำนวณค่ากำไรต่อหุ้นหรือ EPS ทำได้ดังนี้


ข้อมูลทงการเงินของบริษัท PTT


จากภาพแสดงข้อมูลข้างต้น บริษัท PTT มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 91,174.86 ล้านบาท ในปี 2565 และมีจำนวนหุ้นที่บริษัทชำระแล้ว 28,562.9963909774 หุ้น เมื่อทำการคำนวณค่า EPS ของบริษัทแล้วจะได้ตามสูตร ดังนี้


EPS = 91,174.86 / 28,562.9963909774 = 3.19206216155 บาท


สรุปได้ว่า บริษัท PTT มีกำไรต่อหุ้นหรือ EPS ในปี อยู่ที่ 3.19206216155 บาท


สำหรับใครที่ไม่อยากเสียเวลาในการคำนวณค่า EPS ด้วยตัวเอง ก็สามารถเข้าไปเช็คค่า EPS ของหุ้นที่สนใจผ่านเว็บไซต์ดังนี้


ขั้นตอนดูค่า EPS ผ่านเว็บไซต์ SET


1. เข้าไปที่เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย > https://www.set.or.th/th/home


เข้าเว็บไซต์ SET



2. ไปที่ช่องค้นหา แล้วพิมพ์ชื่อย่อของหุ้นที่สนใจ



พิมพ์ชื่อย่อของหุ้นที่สนใจปที่ช่องค้นหา



3. เมื่อกดเลือกดูข้อมูลในหุ้นที่สนใจ ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้นจะขึ้นมา ให้เลื่อนไปดูค่า EPS ในแถบ “ผลประกอบการสำคัญ” กำไรต่อหุ้น (EPS) จะแสดงผลในหมวดหมู่นั้น



ดูค่า EPS ในแถบผลประกอบการสำคัญ

EPS ใช้ในการคำนวณตัวชี้วัดทางการเงินอื่น ๆ

1. PE ratio

PE ratio (Price to Earnings Ratio) คือ อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรต่อหุ้น เป็นตัวชี้วัดทางการเงินที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น เพื่อให้นักลงทุนประเมินได้ว่าราคาหุ้นนั้นมีความคุ้มค่าหรือไม่ โดยเปรียบเทียบราคาหุ้นปัจจุบันกับ กำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทที่หาได้จากการคำนวณดังนี้


PE ratio = ราคาตลาดต่อหุ้น / กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS)


PE ratio ช่วยให้นักลงทุนทราบว่าต้องใช้เวลากี่ปีในคืนทุน ซึ่งค่า PE Ratio ยิ่งต่ำก็ยิ่งดีเมื่อเทียบกับ


  • PE Ratio ของหุ้นนั้นในอดีต

  • PE Ratio เฉลี่ยของอุตสาหกรรม

  • PE Ratio เฉลี่ยของตลาดหุ้น


▲ ตัวอย่างการคำนวณ PE Ratio

หากราคาหุ้นปัจจุบันคือ 100 บาท และกำไรต่อหุ้น (EPS) เป็น 10 บาท ก็จะมี PE ratio เท่ากับ 10 (PE ratio = 100 / 10)


2. EPS growth

EPS Growth (Earnings Per Share Growth) หมายถึง อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทในช่วงระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในการวิเคราะห์และติดตามการเติบโตทางการเงินของบริษัท ค่า EPS growth คำนวณโดยการนำค่า EPS ในปีปัจจุบันลบด้วยค่า EPS ในปีที่แล้ว แล้วหารด้วยค่า EPS ในปีที่แล้ว และคูณด้วย 100 เพื่อแสดงผลเป็นเปอร์เซ็นต์การเติบโตของ EPS ตามสูตรดังนี้


EPS Growth = (EPS t – EPS t-1) / EPS t-1 X 100


  • EPSt คือ มูลค่ากำไรต่อหุ้นในช่วงเวลาที่ต้องการคำนวณ 

  • EPSt-1 คือ มูลค่ากำไรต่อหุ้นในช่วงเวลาก่อนหน้าช่วงเวลาที่ต้องการคำนวณ


ตัวชี้วัดนี้ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจและวิเคราะห์การเติบโตของกำไรต่อหุ้นของบริษัท ซึ่งค่า EPS Growth ที่เป็นบวกแสดงถึงการเติบโตของกำไรต่อหุ้น ในขณะที่ค่า EPS Growth ที่เป็นลบแสดงถึงการลดลงของกำไรต่อหุ้น


การวิเคราะห์ EPS growth เป็นที่นิยมในการตัดสินใจลงทุน เนื่องจากการเติบโตของกำไรต่อหุ้นแสดงถึงความเติบโตของบริษัท และบริษัทที่มีการเติบโตความสามารถที่จะทำกำไรในอนาคตมากกว่า รวมถึงอาจมีมูลค่าในตลาดหลักทรัพย์ที่สูงขึ้น


▲ ตัวอย่างการคำนวณ EPS Growth

สมมุติว่ามีข้อมูลการเปรียบเทียบค่า EPS ของบริษัท MM ในปี 2022 และ 2021 ดังนี้


ปี

EPS (กำไรต่อหุ้น)

2022

12

2021

8


เราสามารถคำนวณค่า EPS Growth ของบริษัท MM  ในปี 2022 โดยใช้สูตรที่กล่าวมา


EPS Growth = (12-8)/8 x 100 = 4/8 x 100 = 50%


ดังนั้นค่า EPS Growth ของบริษัท MM ในปี 2022 คือ 50% ซึ่งหมายความว่ากำไรต่อหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึงปีปัจจุบันอยู่ที่ 50%


3. Dividend payout ratio

Dividend payout ratio (อัตราส่วนการจ่ายเงินปันผล) เป็นตัวชี้วัดทางการเงินที่ใช้ในการวัดส่วนเงินปันผลที่บริษัทจ่ายให้กับผู้ถือหุ้น โดยเปรียบเทียบจำนวนเงินปันผลที่จ่ายในรายการหุ้นกับกำไรสุทธิของบริษัท หมายความว่า ค่า Dividend payout ratio จะแสดงว่าบริษัทมีการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราส่วนเท่าใดต่อกำไรที่บริษัทได้รับ


สูตรการคำนวณ Dividend payout ratio คือ


Dividend payout ratio = มูลค่าปันผลต่อหุ้น x 100 / กำไรสุทธิต่อหุ้น


Dividend payout ratio ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจและวิเคราะห์ว่าบริษัทที่สนใจในการลงทุนมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลแบบไหน ส่วนมากนักลงทุนมักหาบริษัทที่มี Dividend payout ratio สูงเนื่องจากเป็นการให้ผลตอบแทนในรูปของเงินเกิดขึ้นในทันที ซึ่งนักลงทุนที่ต้องการรายได้ในรูปแบบดอกเบี้ยอาจสนใจในการลงทุนในบริษัทที่มี Dividend payout ratio สูง


▲ ตัวอย่างการคำนวณ Dividend payout ratio

สมมุติว่ามีข้อมูลการจ่ายเงินปันผลของบริษัท ABC ในปี 2022 


  • เงินปันผลที่จ่ายในปี 2022: 10,000,000 บาท

  • กำไรสุทธิในปี 2022: 50,000,000 บาท


สามารถคำนวณ Dividend payout ratio ด้วยสูตรที่กล่าวมา


Dividend payout ratio = มูลค่าปันผลต่อหุ้น x 100 / กำไรสุทธิต่อหุ้น

= 10,000,000 x 100 / 50,000,000

= 1 x 100 / 5

= 20%


ดังนั้นค่า Dividend payout ratio ของบริษัท ABC ในปี 2022 คือ 20% ซึ่งหมายความว่าบริษัทได้จ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นประมาณ 20% ของกำไรสุทธิที่บริษัทได้รับในปีนั้น

นักลงทุนใช้ EPS มาทำอะไรได้บ้าง

EPS


นักลงทุนใช้ใช้ค่า EPS เพื่อประเมินความสำคัญและประสิทธิภาพทางการเงินของบริษัทที่ออกหุ้นขายในตลาดหลักทรัพย์ ดังนี้


1. ศึกษาและเปรียบเทียบค่า EPS

ในขั้นตอนแรก ควรศึกษาและเปรียบเทียบค่า EPS ของบริษัทที่ต้องการตรวจสอบ และนำมาเปรียบเทียบกับบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันหรือเปรียบเทียบกับข้อมูลย้อนหลังของบริษัทเองเพื่อดูแนวโน้มของค่า EPS 


2. วิเคราะห์แนวโน้มของค่า EPS

ควรวิเคราะห์แนวโน้มของค่า EPS ในช่วงระยะเวลาที่เกี่ยวข้อง ว่ามีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง ซึ่งจะช่วยให้เห็นภาพรวมเกี่ยวกับประสิทธิภาพทางการเงินของบริษัท


3. ตรวจสอบสาเหตุความเปลี่ยนแปลงของค่า EPS

ควรตรวจสอบสาเหตุของความเปลี่ยนแปลงของค่า EPS ว่าเกิดขึ้นจากการเพิ่มกำไร ลดค่าใช้จ่าย หรือปัจจัยอื่นและตรวจสอบว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะสามารถเกิดขึ้นต่อเนื่องอีกหรือไม่


4. คำนวณอัตราผลตอบแทน (Return on Investment, ROI)

 นอกจากนี้ยังควรคำนวณหาอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นของบริษัทด้วยค่า EPS และราคาหุ้นเพื่อทำการเปรียบเทียบกับการลงทุนในหุ้นของบริษัทอื่นๆ


5. ใช้ค่า EPS เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจลงทุน

ค่า EPS เป็นตัวชี้วัดที่มีประโยชน์ในการวิเคราะห์หุ้นแต่ไม่ควรใช้ตัวเดียวในการตัดสินใจลงทุน ควรใช้ร่วมกับตัวชี้วัดและข้อมูลอื่น ๆ เพื่อประเมินและวิเคราะห์อย่างครบถ้วน

Basic EPS vs. Diluted EPS vs. Adjusted EPS แตกต่างกันยังไง

Basic EPS, Diluted EPS, และ Adjusted EPS เป็นตัวชี้วัดทางการเงินที่ใช้ในการคำนวณกำไรต่อหุ้นของบริษัท ซึ่งมีข้อแตกต่างกันดังนี้


1. Basic EPS (กำไรต่อหุ้นพื้นฐาน)

Basic EPS หมายถึง กำไรต่อหุ้นที่คำนวณจากกำไรสุทธิของบริษัทหารด้วยจำนวนหุ้นที่ออกขายทั้งหมด โดยไม่คำนึงถึงการมีหุ้นตัวเสริม (Dilutive Securities) เพิ่มขึ้น การคำนวณ Basic EPS มีขั้นตอนง่าย ๆ คือ หากมีกำไรสุทธิของบริษัท และมีหุ้นที่ออกขายเท่าไร ก็ให้หารกันเพื่อหาค่า Basic EPS 


2. Diluted EPS (กำไรต่อหุ้นที่ถูกแยกเป็นส่วนของหุ้นเพิ่มเติม)

Diluted EPS หมายถึง กำไรต่อหุ้นที่คำนวณโดยคิดว่ามีหุ้นตัวเสริม (Dilutive Securities) เพิ่มเข้ามาในระบบ ซึ่งหุ้นตัวเสริม คือ สิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มเติมที่อาจทำให้มีหุ้นเพิ่มขึ้น การคำนวณ Diluted EPS จะสร้างสิทธิ์ซื้อหรือตัวแปรเพิ่มเติมเข้ามาในตัวส่วนของหุ้นในระบบเพื่อแสดงผลค่า EPS ที่น้อยที่สุด

ตัวอย่างการคำนวณ Diluted EPS มีขั้นตอนทำคล้ายกับ Basic EPS โดยต้องเพิ่มหุ้นตัวเสริมลงไปในจำนวนหุ้นที่ใช้คำนวณ เพื่อหาค่า Diluted EPS ในกรณีที่มีหุ้นตัวเสริมเกิดขึ้น


3. Adjusted EPS (กำไรต่อหุ้นที่ปรับข้อมูลการเงิน)

Adjusted EPS หมายถึง กำไรต่อหุ้นที่คำนวณโดยปรับข้อมูลทางการเงินเพื่อให้ค่า EPS สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การปรับข้อมูลอาจเกิดขึ้นเพื่อเน้นส่วนที่สำคัญที่สุดหรือแสดงผลค่า EPS ที่มีความน่าเชื่อถือ หรืออาจจะใช้ในกรณีที่มีความแปรปรวนของข้อมูลทางการเงิน เช่น การปรับข้อมูลเนื่องจากค่าภาษีอาจมีการเปลี่ยนแปลงในกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในนโยบายภาษี หรือค่าเบี้ยประกันสินค้าอาจมีความแตกต่างในปีที่แล้วเมื่อเทียบกับปีปัจจุบัน


การเลือกใช้ตัวชี้วัดทางการเงิน Basic EPS, Diluted EPS และ Adjusted EPS ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการใช้งานและสภาพความเป็นอยู่ของบริษัท นักลงทุนควรพิจารณาเรื่องที่ต้องการให้ความสำคัญในการวิเคราะห์และตระหนักถึงข้อจำกัดของแต่ละตัวชี้วัด เพื่อเป็นเสริมสร้างการตัดสินใจที่เป็นระบบมากขึ้น

ข้อจำกัดของ EPS

เมื่อพิจารณาลงทุนหุ้นและใช้ EPS (Earnings Per Share) เป็นตัวชี้วัดทางการเงินที่มีข้อจำกัดบางประการที่มีความสำคัญต่อการเลือกใช้ในการนำไปพิจารณาในการเลือกซื้อหุ้น ดังนี้ 


1. ไม่คำนึงถึงความเสี่ยง

การพิจารณาแต่เพียง EPS เท่านั้นอาจไม่คำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับการลงทุนในหุ้น ซึ่งมีความเสี่ยงและผลตอบแทนที่เปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพแวดล้อมตลาดและธุรกิจของบริษัท


2. ข้อมูลนำเสนอในเวลาเดียวกัน

ตัวชี้วัดทางการเงิน EPS จะมีความสำคัญในช่วงเวลาที่กำหนดเท่านั้น ซึ่งคืออดีตและปัจจุบัน การพิจารณาแต่เพียงค่า EPS ในช่วงเวลาเดียวกันอาจไม่สามารถแสดงถึงทิศทางและการเติบโตของบริษัทในอนาคตได้


3. ไม่คำนึงถึงมูลค่าในตลาด

การคำนึงถึงเพียง EPS เท่านั้นอาจทำให้ไม่สำคัญต่อมูลค่าของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ค่า PE ratio (Price-to-Earnings Ratio) เป็นตัวชี้วัดที่นักลงทุนควรพิจารณาร่วมกับ EPS เพื่อวิเคราะห์ราคาหุ้นที่สมเหตุสมผลและความคุ้มค่า


4. ไม่ใช่ข้อมูลภายในบริษัท

ข้อมูลของค่า EPS เป็นข้อมูลภายนอกที่ประกาศโดยทางบริษัท ซึ่งอาจมีการปรับแก้และนำเสนอให้ดูดีขึ้นขึ้น ไปจนถึงซ่อนข้อจำกัดที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจและการเงินของบริษัท


5. ไม่คำนึงถึงการเปรียบเทียบกับอื่น

ความหมายของ EPS จำเป็นต้องมีการเปรียบเทียบกับตัวชี้วัดทางการเงินอื่น ๆ เช่น อัตราเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) หรือ PE ratio เพื่อให้มีข้อมูลอย่างครบถ้วนในการตัดสินใจลงทุนในหุ้น และช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนได้อีกด้วย

EPS ที่ดีเป็นยังไง

หากพิจารณาอย่างผิวเผินแล้ว ค่า EPS ที่ดีนั้นจะหมายถึงค่า EPS ที่มีค่าสูง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงว่าบริษัทมีกำไรที่มากและมีประสิทธิภาพในการทำกำไรเมื่อนำมาหารด้วยจำนวนหุ้นที่ออกขาย ณ ขณะนั้น


แต่การตีความค่า EPS ที่สูงคือค่า EPS ที่ดีนั้นอาจไม่เพียงพอในการทำกำไรด้วยการลงทุนในหุ้น เนื่องจากค่า EPS สามารถมีการเพิ่มขึ้นได้จากการลดจำนวนหุ้นที่ออกขาย ซึ่งอาจเกิดจากการซื้อกลับหุ้น (Stock Buyback) ก็ได้


ดังนั้น การตีความค่า EPS ที่ดีควรให้ความสำคัญพร้อมกับตัวชี้วัดอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น กำไรสุทธิ (Net Profit), มูลค่าตลาดของหุ้น (Market Cap), อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Investment, ROI) และตัวชี้วัดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง 


mitrade    
เข้าถึงหุ้นที่ยอดนิยมทั่วโลก 350+ ตัวแบบง่ายๆ

dago ค่าคอมมิชชั่น 0 และสเปรดต่ำ
dago เปิดบัญชีง่ายและเร็วภายใน 3 นาที
dago โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 💸    
dago เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💸    
ตราสารอนุพันธ์อาจจะทำให้คุณขาดทุนทั้งหมด โปรดอ่านพิจรนา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงของเรา นำเสนอ โดย Mitrade Holding Ltd.SIB License 1612446


ส่งท้าย

EPS หมายถึง Earnings Per Share หรือ กำไรต่อหุ้น เป็นตัวชี้วัดทางการเงินที่สำคัญในการวิเคราะห์หุ้นของแต่ละบริษัท แต่ก็ควรระมัดระวังในการใช้ตัวชี้วัดนี้เพียงตัวเดียวในการตัดสินใจเพื่อลงทุนในหุ้น เนื่องจากมีปัจจัยต่าง ๆ มาเกี่ยวข้องจำนวนมาก ที่เหมาะสมคือควรพิจารณาถึงตัวชี้วัดทางการเงินและองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น โครงสร้างกำไร ความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ และเปรียบเทียบกับบริษัทในกลุ่มอื่นที่มีธุรกิจคล้ายคลึงกันร่วมด้วย เพื่อให้การตัดสินใจเป็นอย่างมั่นใจและเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในการลงทุนของแต่ละบุคคล

บทความที่คุณอาจจะสนใจด้วย >> 

*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา


การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

goTop
quote
บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่?
บทความที่เกี่ยวข้อง
placeholder
หาเงินออนไลน์ ถูกกฎหมาย! แนะนำ 9 วิธีหาเงินออนไลน์การหาเงินหลักล้านไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปในยุคที่ไร้พรมแดนและทุกคนสามารถเข้าถึงสื่อโซเชียลมีเดียได้อย่างเท่าเทียมกัน ห้ามพลาดกับวิธีหาเงินออนไลน์ทั้ง 9 แบบที่เรานำมาฝาก
ผู้เขียน  MitradeInsights
วันที่ 28 พ.ย. 2023
การหาเงินหลักล้านไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปในยุคที่ไร้พรมแดนและทุกคนสามารถเข้าถึงสื่อโซเชียลมีเดียได้อย่างเท่าเทียมกัน ห้ามพลาดกับวิธีหาเงินออนไลน์ทั้ง 9 แบบที่เรานำมาฝาก
placeholder
วิธีดูกราฟราคาทองที่นักลงทุนทองคำต้องรู้ ฉบับมือใหม่ต้องอ่านบทความนี้จะแนะนำวิธีดูกราฟราคาทองสำหรับมือใหม่ ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจแนวโน้มตลาด และระบุจังหวะการซื้อขายที่เหมาะสม
ผู้เขียน  MitradeInsights
วันที่ 01 มิ.ย. 2023
บทความนี้จะแนะนำวิธีดูกราฟราคาทองสำหรับมือใหม่ ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจแนวโน้มตลาด และระบุจังหวะการซื้อขายที่เหมาะสม
placeholder
ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) และ ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) คืออะไร และ มีอะไรบ้างต้นทุนในธุรกิจ ทั้งต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปร เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ บทความนี้ เรามาทำความรู้จักกันว่า ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) และ ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) คืออะไร และมีอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลย
ผู้เขียน  MitradeInsights
3 เดือน 01 วัน ศุกร์
ต้นทุนในธุรกิจ ทั้งต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปร เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ บทความนี้ เรามาทำความรู้จักกันว่า ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) และ ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) คืออะไร และมีอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลย
placeholder
10 อันดับแอพหาเงินสร้างรายได้เสริมปี 2024ยังจำเป็นอยู่ไหมกับการทำงานกินเงินเดือนที่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน ปัจจุบันที่ใคร ๆ ต่างก็นั่งทำงานหารายได้จากหลายช่องทางต้องบอกว่าหมดยุคแล้วกับตอกบัตรเข้าออฟฟิศ และนี่คือทั้งหมดของแอพหาเงินที่เรารวบรวมมาเป็นตัวเลือกสำหรับการสร้างรายได้แบบง่าย ๆ ที่บ้านสำหรับปีนี้ที่เรานำมาฝากกัน
ผู้เขียน  MitradeInsights
วันที่ 30 ส.ค. 2023
ยังจำเป็นอยู่ไหมกับการทำงานกินเงินเดือนที่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน ปัจจุบันที่ใคร ๆ ต่างก็นั่งทำงานหารายได้จากหลายช่องทางต้องบอกว่าหมดยุคแล้วกับตอกบัตรเข้าออฟฟิศ และนี่คือทั้งหมดของแอพหาเงินที่เรารวบรวมมาเป็นตัวเลือกสำหรับการสร้างรายได้แบบง่าย ๆ ที่บ้านสำหรับปีนี้ที่เรานำมาฝากกัน
placeholder
คำสั่ง Long , Short คืออะไร? ​คำสั่ง Long (Buy), Short (Sell) คืออะไร คราวนี้เราก็จะมาพาเทรดเดอร์ทั้งมือเก่าและมือใหม่ไปทำความรู้จักคำสั่งนี้กัน เพื่อคล้าโอกาสการเทรดและทำกำไรจากความผันผวนของตลาดเงินให้มากขึ้น ตามมาดูกันเลย
ผู้เขียน  MitradeInsights
วันที่ 08 มิ.ย. 2023
​คำสั่ง Long (Buy), Short (Sell) คืออะไร คราวนี้เราก็จะมาพาเทรดเดอร์ทั้งมือเก่าและมือใหม่ไปทำความรู้จักคำสั่งนี้กัน เพื่อคล้าโอกาสการเทรดและทำกำไรจากความผันผวนของตลาดเงินให้มากขึ้น ตามมาดูกันเลย
ราคาเสนอแบบเรียลไทม์