Dow Theory คืออะไร ทำงานอย่างไร? นักลงทุนที่ควรรู้

อัพเดทครั้งล่าสุด
coverImg
แหล่งที่มา: DepositPhotos

Dow Theory หรือ ทฤษฎีดาว ถูกพูดถึงกันอย่างแพร่หลาย คิดค้นมาร่วมๆ 100 ปี และอยู่คู่กับนักลงทุนมาทุกยุคทุกสมัย มีความสำคัญไม่แพ้การวิเคราะห์ทางพื้นฐานกิจการหรือตัวเลขเศรษฐกิจ โดยทฤษฎีดาวถือเป็นหนึ่งในทฤษฎีที่สำคัญมากที่สุดของ Technical Analysis ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่สามารถเอาไปประยุกต์ใช้ในการเทรดทุกสินค้า บทความนี้เราจะมารู้จักทฤษฎีดาวกันให้มากขึ้น

Dow Theory คืออะไร

Dow Theory (ทฤษฎีดาว) คือ การวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคในแง่มุมของกลุ่มหุ้นตามวงจรเศรษฐกิจ (sector rotation) และดูด้านการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ทฤษฎีดาวนี้มาจากบทความในหนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal เขียนโดย ชาลส์ เอช. ดาว 

ประวัติศาสตร์และต้นกำเนิด

ทฤษฎี Dow คือ แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่ถูกพัฒนาโดย Charles H. Dow และ William Peter Hamilton ในต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการวิเคราะห์ทิศทางของตลาดทุน โดยเฉพาะตลาดหลักทรัพย์ หรือตลาดสินค้าเทรดต่างๆ เป็นทฤษฎีที่สรุปเสนอหลักการหลักสำหรับการวิเคราะห์กราฟราคาหุ้นและคาดการณ์การเคลื่อนไหวของตลาดในอนาคต


Dow Theory ทำงานอย่างไร

แนวคิดของทฤษฎีดาว Dow Theory เชื่อว่าการขึ้นลงของราคาหุ้นนั้นเปรียบเสมือนกับน้ำทะเล หมายถึงตอนที่ราคาหุ้นอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นระยะทางของกราฟขาขึ้นนั้นจะยาวนานกว่าระยะกราฟขาลงอย่างแน่นอน และราคาหุ้นอยู่ในแนวโน้มขาลงระยะทางของกราฟขาลงนั้นจะยาวนานกว่าระยะกราฟขาขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับคลื่นทะเลตอนน้ำขึ้นกับคลื่นทะเลตอนน้ำลง


ความสำคัญของ Dow Theory

ถือได้ว่าเป็นต้นแบบแบบของการเทรดหุ้นด้วยเทคนิคอล เป็นหนึ่งในทฤษฎีที่มีความสำคัญมากที่สุด สำหรับนักลงทุนสายเทคนิคอล และถูกพัฒนาต่อยอดอีกมากมาย ไม่เพียงแค่กราฟราคาหุ้น แต่ยังพูดถึงพฤติกรรมตลาดและจิตวิทยาการลงทุนอีกด้วย ทฤษฎี dow theory มีประโยชน์ ที่จะให้นักลงทุนเทรดตามแนวโน้มหลักให้เจอและเก็งกำไรในรอบนั้นๆ การเข้าใจในและฝึกฝนทฤษฏีดาวนี้จะทำให้นักลงทุนรู้ว่าตอนนี้เราน่าจะอยู่ที่แนวโน้มช่วงไหน ขาขึ้นหรือขาลง เพื่อจะได้เตรียมตัววางแผนรับมือกับตลาดได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุนที่ผิดคาดการณ์ให้ลดความเสียหายได้

แนวโน้ม 3 ประการในทฤษฎี Dow Theory

ทฤษฎีดาว Dow Theory ได้แบ่งแนวโน้มของกราฟราคาเป็น 3 กลุ่มตามระยะเวลา


1. Primary Trend หรือ แนวโน้มหลัก

Primary Trend แนวโน้มใหญ่หรือแนวโน้มระยะยาว ซึ่งปกติแนวโน้มนี้จะใช้เวลาตั้งแต่ 200 วันหรือ 1 ปี ขึ้นไป ในบางครั้งระยะเวลาของแนวโน้มนี้อาจจะยาวนานถึง 4 ปี 


2. Intermediate Trend แนวโน้มรอง

Intermediate Trend แนวโน้มรองหรือแนวโน้มระยะกลาง ซึ่งมีลักษณะที่เหมือนกับ Primary Trend แนวโน้มใหญ่หรือแนวโน้มระยะยาวทุกอย่าง แตกต่างกันเพียงแค่ระยะเวลาของแนวโน้มเท่านั้น ซึ่งแนวโน้ม Intermediate Trend แนวโน้มรองหรือแนวโน้มระยะกลางจะใช้เวลาตั้งแต่ 3 สัปดาห์ ถึง 3 เดือน


3. Minor Trend แนวโน้มย่อย

Minor Trend แนวโน้มย่อยหรือแนวโน้มระยะสั้น ซึ่งมีลักษณะที่เหมือนกับ Primary Trend แนวโน้มใหญ่ และ Intermediate Trend แนวโน้มรองทุกอย่าง แตกต่างกันเพียงแค่ระยะเวลาของแนวโน้มเท่านั้น ซึ่งแนวโน้ม Minor Trend แนวโน้มย่อยหรือแนวโน้มระยะสั้นจะใช้เวลาไม่เกิน 3 สัปดาห์

ภาพตัวอย่างแนวโน้ม 3 ประการของทฤษฎีดาว

ที่มา Trading Diary 


ซึ่งแนวโน้มหลัก, แนวโน้มรอง และ แนวโน้มย่อย จะมีสิ่งที่เหมือนกัน คือ แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend), แนวโน้มขาลง (Downtrend) และ แนวโน้มออกทางด้านข้าง (Sideway) มีลักษณะที่ต่างกันสามารถแยกได้ดังนี้


  • ในแนวโน้มขาขึ้น ลักษณะกราฟจะทำทรงยกราคาสูงขึ้นกว่าเดิม ทั้งราคาสูง (Higher High=HH) หรือ ราคาต่ำ (Higher Low=HL)


  • ในแนวโน้มขาลง ตรงกันข้ามกับขาขึ้น จุดสูงสุดใหม่ต่ำกว่าจุดสูงเก่าและจุดต่ำสุดใหม่ต่ำอยู่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดเก่า หรือมี Lower High = LH และ Lower Low = LL


  • ในแนวโน้มออกข้าง จะสลับไปๆมาๆของ HH HL LH LL ไม่สามารถทำการยกไฮยกโลว์หรือโลว์ที่ต่ำลงที่เห็นได้ชัดเจน แสดงว่ายังไม่มีการเลือกแนวโน้ม 


ภาพตัวอย่างลักษณะของแนวโน้ม Uptrend/Downtrend/Sideways

หลักการสำคัญของทฤษฎี Dow Theory

Dow Theory มีหลักการสำคัญ 6 ข้อด้วยกัน คือ 


1. ตลาด หรือราคาหุ้นได้ดูดซับข้อมูลไปหมดแล้ว 

ทฤษฎีดาวมีความเชื่อว่าข่าวสารต่างๆที่เกี่ยวกับหุ้นตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็น คาดการณ์กำไรในอนาคต, ความได้เปรียบในการแข่งขัน หรือปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ได้สะท้อนอยู่ในราคาหุ้นเรียบร้อยแล้ว


2. แนวโน้มของราคาหุ้นจะมีทั้งหมด 3 แนวโน้ม 

คือ แนวโน้มหลัก (Primary Trends) แนวโน้มรอง (Secondary Trends) และแนวโน้มย่อย (Minor Trends) ซึ่งได้อธิบายไว้ในหัวข้อที่ 3 ไว้สามารถย้อนอ่านได้


3. ในแต่ละแนวโน้มจะมีช่วงสำคัญอยู่ 3 ช่วง 

ช่วงที่ 1: ระยะสะสม (Accumulation)ถือเป็นช่วงแรกของการขึ้นของราคารอบใหม่ แนวโน้มราคาจะยังไม่ชัดเจนมากนัก สำหรับนักลงทุนที่มองปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก จะเริ่มเข้ามาซื้อหุ้นสะสมในช่วงนี้ เนื่องจากราคายัง


อยู่ในระดับต่ำและมีมูลค่าไม่สูงจนเกินไป สำหรับนักลงทุนที่เน้นเก็งกำไรโดยใช้กราฟราคา หรือ Technical Analysis จะไม่นิยมซื้อในช่วงนี้ เนื่องจากแนวโน้มของราคายังไม่ชัดเจน และอาจจะต้องใช้เวลานานในการรอการปรับตัวขึ้น


ช่วงที่ 2: ระยะปรับตัวขึ้นครั้งใหญ่ (Public Participation) เป็นช่วงถัดมาที่ราคามีการปรับตัวเป็นขาขึ้นและมีปริมาณซื้อขายเข้ามาอย่างชัดเจน และเริ่มเป็นช่วงที่สินทรัพย์นั้นถูกพูดถึงในวงกว้างมากขึ้น ช่วงนี้ถือว่าเป็นโอกาสทองสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรระยะสั้น เนื่องจากมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ง่ายกว่าเพราะแนวโน้มเป็นขาขึ้นชัดเจน และใช้เวลารอในการทำกำไรไม่นานนัก


ช่วงที่ 3: ระยะแจกจ่าย (Distribution) เป็นช่วงสุดท้ายของแนวโน้มที่มีการไล่ราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว และถูกพูดถึงกันเป็นวงกว้าง เนื่องจากถูกปล่อยแต่ข้อมูลด้านดี ทำให้นักลงทุนรายย่อยมาเข้าซื้อ เป็นโอกาสในการขายของนักลงทุนรายใหญ่เพื่อทำกำไร การเข้าซื้อในช่วงนี้จะมีความเสี่ยงสูง ต้องเทรดด้วยความระมัดระวังและมีวินัยในการตัดขาดทุน


รูปภาพแสดงระยะสะสม,ปรับตัวและแจกจ่าย

ที่มา https://dutchuncles.in


4. ทุกอย่างล้วนสอดคล้องกัน 

ในอดีต Charles Dow ได้ใช้ Dow Jones Industrial Average และ Dow Jones Transportation Average ยืนยันแนวโน้มซึ่งกันและกัน โดยมองว่าถ้าดัชนีตัวหนึ่ง เช่น ดัชนีดาวโจนส์เริ่มต้นแนวโน้มขาขึ้น อีกดัชนีหนึ่งก็ต้องเริ่มต้นแนวโน้มขาขึ้นเช่นกัน ถึงจะยืนยันได้ว่าตลาดเป็นแนวโน้มขาขึ้นจริงๆตัวอย่างเช่น เพื่อที่จะยืนยันถึงภาพตลาดหุ้นที่เป็นบวก 


5. ปริมาณ (Volume) ต้องสัมพันธ์กับแนวโน้ม 

หมายถึงถ้าทิศทางราคาเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) ปริมาณซื้อ (Volume) ก็ควรไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้ม คือ ปริมาณซื้อสินค้าตัวนั้นๆควรที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามราคาที่เพิ่มขึ้น หรือถ้าเป็นแนวโน้มขาลง (Downtrend) แล้วปริมาณขายสินค้านั้นๆเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แบบนี้ถือ ว่าแนวโน้มและปริมาณสอดคล้องกัน และแปลว่า “ราคาลงจริง” ในทางทฤษฎีดาวจะใช้เพื่อคอนเฟิร์มทิศทางของการขึ้นลงของแนวโน้มนั้นๆ


6. แนวโน้มจะเป็นไปแบบต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ จนกว่ามีสัญญาณเปลี่ยนเทรน

ราคาจะเป็นแนวโน้มต่อเนื่องไปเรื่อยๆจนกว่ามีสัญญาณบ่งบอกชัดเจนว่าราคามีการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม เช่น ราคาทองคำ ทำแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) มาโดยตลอด แต่ล่าสุดมีแรงขายปริมาณมากมา 3 วันติดกัน และราคาทองคำไม่ทำจุดสูงใหม่ (Lower High) แถมกลับทำจุดต่ำใหม่ (Lower Low) แบบนี้ก็ค่อนข้างชัดเจนว่าแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) ได้จบลงแล้ว และกำลังจะเปลี่ยนเป็นแนวโน้มขาลง (Downtrend) 

Double Bottom and Top Formation

เป็นรูปแบบการเปลี่ยนแนวโน้มของราคาในการวิเคราะห์ทางเทคนิคของการเทรด 

Double Bottom (ทำจุดต่ำสุดสองครั้ง) เป็นรูปแบบกราฟที่แสดงถึงการเปลี่ยนแนวโน้มของราคาจากการลดลงไปเป็นการขึ้นใหม่ ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังจากตลาดลงต่ำแล้วเริ่มสร้างพื้นที่การสนับสนุนที่แข็งแกร่ง โดยมีลักษณะแบบ "W" หรือ "U" ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ราคาลดต่ำสุด 2 ครั้ง และมีระดับสูงสุดระหว่างนั้น ที่ราคาสุดต่ำสองครั้งนั้นไม่สูงเท่ากัน เป็นสัญญาณว่าตลาดอาจจะเตรียมพร้อมที่จะเริ่มต้นการขึ้นตอน


Double Top (ทำจุดสูงสุดสองครั้ง) เป็นรูปแบบกราฟที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแนวโน้มของราคาจากการขึ้นไปเป็นการลดลงใหม่ ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังจากตลาดขึ้นสูงแล้วเริ่มสร้างพื้นที่การต้านทานที่แข็งแกร่ง โดยมีลักษณะแบบ "M" หรือ "W" ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ราคาขึ้นสูงสุด 2 ครั้ง และมีระดับต่ำสุดระหว่างนั้น (peak or crest) ที่ราคาสูงสุดสองครั้งนั้นไม่ต่ำเท่ากัน


เป็นสัญญาณว่าตลาดอาจจะเตรียมพร้อมที่จะเริ่มต้นการลงตอน

รูปภาพแสดงรูปแบบของ Double Bottom และ Double Top

ที่มา Babypips


การใช้รูปแบบ Double Bottom และ Double Top เป็นหนึ่งในเทคนิคการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีจุดประสงค์เพื่อพยากรณ์ทิศทางของราคาในอนาคต อย่างไรก็ตาม, ควรทราบว่าไม่มีเทคนิคใดๆที่สามารถทำนายตลาดได้อย่างแม่นยำเสมอไป การใช้ทักษะและความรู้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคควบคุมการตัดสินใจเป็นสำคัญ

ข้อดีข้อเสียของ Dow Theory

ทุกระบบมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนอยู่ที่นักลงทุนสามารถปรับใช้งานให้เหมาะสมกับการลงทุนในสไตล์ของตัวเองด้วย 


ข้อดีของทฤษฎี Dow

👍 ระบบที่มีพื้นฐานเดียว ทฤษฎี Dow มีหลักการพื้นฐานที่เสถียรและตรงไปตามหลักการ ทำให้มีความเข้าใจได้ง่ายและเป็นระบบที่สามารถใช้ในการวิเคราะห์ตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ


👍  การบ่งบอกทิศทางของตลาด ช่วยในการระบุแนวโน้มของตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจวางแผนการเทรดได้ดีขึ้น


👍  การให้ความสำคัญกับปริมาณการซื้อขาย ทฤษฎี Dow ระบุถึงความสำคัญของปริมาณการซื้อขายในการยืนยันแนวโน้มของตลาด


👍  การให้การวิเคราะห์ตลาดโดยไม่ใช้ตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์ ทฤษฎี Dow ไม่ใช้ตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์ในการวิเคราะห์ ทำให้สามารถนำไปใช้ได้ในสถานการณ์ที่ข้อมูลเศรษฐศาสตร์ไม่เสถียร


ข้อเสียของทฤษฎี Dow

👎  ความล่าช้าในการยืนยัน: การต้องการการยืนยันจากตลาดทำให้มีความล่าช้าในการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มของตลาด กว่าจะคอนเฟิร์มบางทีราคาที่ต้องการมีการเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว


👎  ทฤษฎี Dow ไม่คำนึงถึงข้อมูลพื้นฐานของบริษัทหรือตลาดที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจทำให้สูญเสียความสำคัญของปัจจัยทางพื้นฐานที่จะซัพพอร์ตราคาให้เป็นไปตามที่ควรจะเป็น

กลยุทธ์การซื้อขาย Dow Theory

Dow Theory หรือ ทฤษฎีดาว บอกถึงลักษณะของแนวโน้มทิศทางต่างๆ ทั้ง ขาขึ้น (Uptrend) ขาลง (Downtrend) และออกข้าง (Sidesway) ซึ่งเป็นเป็นโอกาสให้นักลงทุนที่สามารถเลือกเทรดหรือลงทุนตามสถานการณ์ตลาดหรือสินค้านั้นๆ 


ดังนั้นรูปแบบการเทรดในลักษณะของ CFD (Contract for Difference) หรือสัญญาส่วนต่างราคา จึงเหมาะสมกับเพราะสามารถเทรดได้ทั้งสองฝั่ง ถ้านักลงทุนมองราคาขาขึ้นสามารถเลือก Buy Order และถ้ามองราคาฝั่งขาลงสามารถเลือก Sell Order เพื่อทำกำไร 


รูปภาพแสดงกราฟของทองคำ(XAUUSD) จากทฤษฎีดาว


จากกราฟจะเห็นว่าราคาของทองคำเคลื่อนที่ในลักษณะของทฤษฎีดาว ในแนวโน้มขาขึ้น ซึ่งเกิดรูปแบบของ Higher High และ Higher Low ทำจุดสูงสุดใหม่และยกจุดต่ำสุดเพิ่มขึ้น นักลงทุนจึงสามารถวางแผนเทรดหน้าฝั่ง Uptrend หรือ Buy Order ดังนี้


  •  เลือกคำสั่งซื้อหรือ BUY Order เพราะมองว่าแนวโน้มราคาจะขึ้น

  •  ใส่ปริมาณหรือจำนวน Lot Size 

  •  เลือกเลเวอเรจให้เหมาะสมกับความเสี่ยง

  •  เลือกราคาเข้าซื้อ / จุดทำกำไร / จุดตัดขาดทุน 


ดังนั้นเมื่อนักลงทุนวิเคราะห์ราคาหุ้นหรือสินค้าเทรดแล้วตามหลักของทฤษฎีดาว ซึ่งจะรู้ทั้งแนวโน้มปัจจุบัน ความน่าจะเป็นของทิศทางราคา สามารถช่วยให้วางแผนได้รัดกุมมากขึ้น ยิ่งได้แพลตฟอร์มเทรดที่น่าเชื่อถือและซัพพอร์ตการเทรดได้ทั้งสองทางแล้ว ช่วยให้ลงทุนได้อย่างมั่นใจ รวมถึงมีการจัดการเงินทุนและความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

สรุปเกี่ยวกับ Dow Theory

หวังว่าอ่านบทความนี้แล้วนักลงทุนสามารถฝึกฝนใช้ทฤษฎีดาว(Dow Theory)ให้ชำนาญและทำความเข้าใจให้มากขึ้น จะสามารถวิเคราะห์ทางเทคนิคได้ดีแน่นอน เพราะพื้นฐานของทฤษฎีดาวนั้นเรียบง่าย มีหลักการที่ชัดเจน  ถ้าสนใจลงทุนในสินค้า CFD สามารถเปิดบัญชีจำลองที่ Mitrade ซึ่งมีเงินเสมือนจริง $50, 000 ฟรีสำหรับฝึกฝน นอกจากนี้สามารถใช้บริการเทรดได้ทั้งหุ้น คริปโต ทองคำ ดัชนี และคู่เงิน ภายในบัญชีเทรดเดียว


mitrade
🎉ห้ามพลาด !!! 🎉
ค่าคอมฯ 0 สเปรดต่ำ เงินฝากขั้นต่ำ $50 
ฝึกฝนเทรดด้วยเงินเสมือนจริง $50, 000 ฟรี
การลงทุนมีความเสี่ยง อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน
คำถามที่พบบ่อย

1. ทำไมทฤษฎีดาวถึงเป็นที่นิยมและพูดถึงมากในนักลงทุนสายเทคนิคอล

ทฤษฎี Dow ถือได้ว่าเป็นแม่แบบของการเทรดหุ้นด้วยเทคนิคอลเลยก็ว่าได้ เป็นผลงานของ Charles H. Dow คิดค้นมากว่า 100 ปีแล้ว จนถูกพัฒนาต่อยอดอีกมากมาย ไม่เพียงแค่กราฟราคาหุ้น แต่ยังพูดถึงพฤติกรรมตลาด และจิตวิทยาการลงทุนอีกด้วย

2. หลักการของทฤษฎีดาวทั้ง 6 ข้อมีอะไรบ้าง และอันไหนสำคัญที่สุด

ทฤษฎีดาวได้พูดถึงหลักการของการใช้งานที่อ้างอิงกับการเคลื่อนไหวของราคาโดยอ้างอิงดังนี้ และทุกข้อมีความจำเป็นที่นักลงทุนจะต้องเช็คให้มั่นใจ 1. ราคาได้สะท้อนทุกอย่างไว้หมดแล้ว 2. ราคาเคลื่อนไหวอย่างเป็นแนวโน้ม 3. ตลาดจะแบ่งเป็น 3 ระยะ ทั้งในขาขึ้นและขาลง 4. ราคาต้องยืนยันซึ่งกันและกัน 5.ปริมาณวอลุ่มยืนยันทิศทางราคา

3. วีธีการแบ่งแนวโน้มขาขึ้นและแนวโน้มขาลงตามทฤษฎีดาว ใช้จำแนกจากอะไร

ในแนวโน้มขาขึ้น ลักษณะกราฟจะทำทรงยกราคาสูงขึ้นกว่าเดิม ทั้งราคาสูง (Higher High=HH) หรือ ราคาต่ำ (Higher Low=HL) ส่วน ในแนวโน้มขาลง ตรงกันข้ามกับขาขึ้น จุดสูงสุดใหม่ต่ำกว่าจุดสูงเก่าและจุดต่ำสุดใหม่ต่ำอยู่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดเก่า หรือมี Lower High = LH และ Lower Low = LL

*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา


การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

goTop
quote
บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่?
บทความที่เกี่ยวข้อง
placeholder
บิทคอยน์ (Bitcoin) คืออะไร? ศึกษาให้ดีก่อนลงทุน ห้ามพลาด! บทความนี้จะตอบคำถามทั้งหมดที่นักลงทุนที่สนใจลงทุนใน Bitcoin รวมถึง Bitcoin คืออะไร, Bitcoin ทำงานอย่างไร, การขุด Bitcoin คืออะไรและได้เงินจริงไหม, จัดเก็บ bitcoin อย่างไร, บิทคอยน์ ผิดกฎหมายไหม พร้อมคำถามที่น่าตื่นเต้นที่สุด - วิธีเริ่มต้นเทรด Bitcoin นะครับ
ผู้เขียน  MitradeInsights
วันที่ 18 พ.ค. 2023
บทความนี้จะตอบคำถามทั้งหมดที่นักลงทุนที่สนใจลงทุนใน Bitcoin รวมถึง Bitcoin คืออะไร, Bitcoin ทำงานอย่างไร, การขุด Bitcoin คืออะไรและได้เงินจริงไหม, จัดเก็บ bitcoin อย่างไร, บิทคอยน์ ผิดกฎหมายไหม พร้อมคำถามที่น่าตื่นเต้นที่สุด - วิธีเริ่มต้นเทรด Bitcoin นะครับ
placeholder
วิเคราะห์แนวโน้มราคาบิทคอยน์ 2024 จะไปในทิศทางใดบทความนี้จะเป็นการเรียบเรียงข้อข้อมูลเกี่ยวกับ “Bitcoin” โดยตรง รวมไปถึงการวิเคราะห์ราคาบิทคอยน์ 10 ปีย้อนหลัง การวิเคราะห์ราคาบิทคอยน์ปี 2023 และวิเคราะห์บทสุปราคาบิทคอยน์จะขึ้นหรือลดลงและยังน่าลงทุนอยู่ไหมในปี 2024
ผู้เขียน  MitradeInsights
วันที่ 19 พ.ค. 2023
บทความนี้จะเป็นการเรียบเรียงข้อข้อมูลเกี่ยวกับ “Bitcoin” โดยตรง รวมไปถึงการวิเคราะห์ราคาบิทคอยน์ 10 ปีย้อนหลัง การวิเคราะห์ราคาบิทคอยน์ปี 2023 และวิเคราะห์บทสุปราคาบิทคอยน์จะขึ้นหรือลดลงและยังน่าลงทุนอยู่ไหมในปี 2024
placeholder
6 หุ้น AI หรือหุ้น ปัญญาประดิษฐ์ ที่น่าจับตามองบทความนี้จะพูดถึงหุ้น AI ที่น่าจับตามอง และเป็นหุ้นที่น่าลงทุน รวมไปถึงการนำ AI เข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดการพอร์ตของนักลงทุน สามารถอ่านในบทความกันได้เลย
ผู้เขียน  MitradeInsights
วันที่ 17 พ.ค. 2023
บทความนี้จะพูดถึงหุ้น AI ที่น่าจับตามอง และเป็นหุ้นที่น่าลงทุน รวมไปถึงการนำ AI เข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดการพอร์ตของนักลงทุน สามารถอ่านในบทความกันได้เลย
placeholder
มีเงิน 20,000 ลงทุนอะไรดีให้เหมาะกับตัวเอง วันนี้ผมมี 6 วิธีการลงทุน ที่จะทำให้เงินให้งอกเงย ตั้งแต่ผลตอบแทนน้อย ไปยังผลตอบแทนสูง แต่เพื่อนๆ อย่าลืมว่า ผลตอบแทนแทนที่คาดหวังสูง ก็จะมาพร้อมความเสี่ยงที่สูงตามนะครับ มาดูกันเลย!!
ผู้เขียน  ปรีชา มานพInsights
วันที่ 15 มี.ค. 2023
วันนี้ผมมี 6 วิธีการลงทุน ที่จะทำให้เงินให้งอกเงย ตั้งแต่ผลตอบแทนน้อย ไปยังผลตอบแทนสูง แต่เพื่อนๆ อย่าลืมว่า ผลตอบแทนแทนที่คาดหวังสูง ก็จะมาพร้อมความเสี่ยงที่สูงตามนะครับ มาดูกันเลย!!
placeholder
CFD คืออะไรและทำงานอย่างไร?หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์เช่น forex หุ้น ดัชนี ทองคำหรือบิทคอยน์ แต่คุณมีเงินไม่มากแต่ก็มีความคาดหวังว่าจะเก็งกำไรในระยะสั้น การลงทุนด้วยเครื่องมือ CFD อาจจะเป็นคำตอบสำหรับการลงทุนของคุณ ว่าแต่ CFD คืออะไร, CFD ทำงานอย่างไร CFD, จะช่วยให้คุณลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อยอย่างไร, ข้อดีและความเสี่ยงในการเทรด CFD คืออะไร เรามาหาคำตอบกันครับ
ผู้เขียน  MitradeInsights
วันที่ 01 มิ.ย. 2023
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์เช่น forex หุ้น ดัชนี ทองคำหรือบิทคอยน์ แต่คุณมีเงินไม่มากแต่ก็มีความคาดหวังว่าจะเก็งกำไรในระยะสั้น การลงทุนด้วยเครื่องมือ CFD อาจจะเป็นคำตอบสำหรับการลงทุนของคุณ ว่าแต่ CFD คืออะไร, CFD ทำงานอย่างไร CFD, จะช่วยให้คุณลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อยอย่างไร, ข้อดีและความเสี่ยงในการเทรด CFD คืออะไร เรามาหาคำตอบกันครับ
ราคาเสนอแบบเรียลไทม์