ดัชนีเอสแอนด์พี 500 หรือ ดัชนี S&P 500 คืออะไร?
การลงทุนปัจจุบัน เราเลี่ยงไม่ ได้เลยว่า ดัชนีตลาดหุ้นของสหรัฐมีผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลก ดัชนี S&P ย่อมาจาก 500 Standard & Poor's 500 เป็นดัชนีตลาดหุ้นที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในโลก ดัชนีนี้ทำหน้าที่เป็นมาตรฐานสำหรับประสิทธิภาพตลาดหุ้นสหรัฐฯโดยจำนวน 500 แห่ง เป็นตัวแทนกว่า 80% ของบริษัทจัดทะเบียนของทั้งหมดของสหรัฐอเมริกา ทำให้เวลาดัชนี S&P 500 ขึ้นลงก็จะมีผลกระทบต่อตลาดการเงินของโลก
บทความนี้จะพานักลงทุนทำความรู้จักกับดัชนีหุ้นสหัฐ S&P 500 รวมถึง S&P 500 คืออะไร, S&P 500 คำนวณอย่างไร, รายชื่อหุ้นใน S&P 500, S&P 500 และ Dow Jones แตกต่างกันอย่างไร
S&P 500 คืออะไร เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
S&P 500 (Standard & Poor's 500) เป็นดัชนีตลาดหุ้นที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดดัชนีหนึ่งของโลก ซึ่งสะท้อนถึงผลงานของบริษัทจดทะเบียนชั้นนำ 500 แห่งในสหรัฐอเมริกา ประวัติของดัชนีสามารถย้อนกลับไปได้ถึงต้นศตวรรษที่ 20 และเน้นถึงพัฒนาการที่สำคัญในตลาดการเงิน
ตัวอย่าง บริษัท ที่อยู่ใน ดัชนี S&P 500 เช่น Amazon,American Airlines Group
Bank of America, BlackRock, CME Group, Apple, Facebook, Microsoft, Google และ Tesla เป็นต้น
รากฐานของดัชนี S&P 500 ย้อนกลับไปถึงปี 1923 เมื่อบริษัท Standard Statistics เปิดตัวดัชนีตลาดหุ้นตัวแรกซึ่งประกอบด้วยบริษัท 233 แห่งใน 26 อุตสาหกรรม ในปี 1941 บริษัท Standard Statistics ได้ควบรวมกิจการกับสำนักพิมพ์ Poor's Publishing และก่อตั้งเป็น Standard & Poor's Corporation
ดัชนี S&P 500 ถูกสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 1957 โดย Standard & Poor's ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับเครดิตและการเงินระดับโลก มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงถึงผลงานของบริษัทชั้นนำ 500 แห่งในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ในฐานะดัชนีตลาดหุ้น ดัชนี S&P 500 ถือเป็นมาตรวัดที่ดีที่สุด โดยติดตามบริษัทขนาดใหญ่ 500 บริษัทที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ มีสภาพคล่องสูง รวมถึงมีการเปิดให้ซื้อและขายหุ้นในตลาดหุ้นเกิน 10% เป็นต้น ซึ่งผลจากการพิจารณาดัชนี S&P500
แม้ว่าดัชนี Dow Jones จะเป็นดัชนีที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด แต่นักลงทุนมักจะมองไปที่ S&P 500 เมื่อต้องการประเมินว่าตลาดโดยรวมเป็นอย่างไร ดังนั้นดัชนีนี้จึงถือเป็นดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของสหรัฐ
ในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่แข็งแกร่ง โดยมีผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ประมาณ 11.09% ณ วันที่ 26 ธันวาคม 2024 ดัชนีนี้บรรลุผลตอบแทนรวมตั้งแต่ต้นปี (YTD) ที่ 28.35% ซึ่งสะท้อนถึงผลตอบแทนราคาที่ 26.63% และผลตอบแทนเงินปันผลที่ 1.72% ประสิทธิภาพที่แข็งแกร่งนี้เน้นย้ำถึงความยืดหยุ่นและการเติบโตของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำให้ดัชนี S&P 500 เป็นเกณฑ์มาตรฐานที่สำคัญสำหรับนักลงทุน
ที่มา: slickcharts
S&P 500 ทำงานอย่างไร
S&P 500 ติดตามดัชนีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของบริษัทต่างๆ มูลค่าตามราคาตลาด (Market cap) คือมูลค่ารวมของหุ้นทั้งหมดที่บริษัทออกให้ ซึ่งคำนวณโดยการคูณจำนวนหุ้นที่ออกให้ด้วยราคาหุ้น บริษัทที่มีมูลค่าตลาดที่ 100 พันล้านเหรียญสหรัฐจะได้รับฐานะการเป็นตัวแทน 10 เท่าเมื่อเทียบกับบริษัทที่มีมูลค่าตลาดเท่ากับ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าตลาดรวมของ S&P 500 อยู่ที่ 23.5 ล้านล้านเหรียญ โดยมีมูลค่าเป็น 80% ของมูลค่าของตลาดหุ้นทั้งหมด
ทั้งนี้ดัชนีคิดมาจากการถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดของบริษัท โดยจะวัดเฉพาะหุ้นที่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ ไม่นับรวมกลุ่มที่มีการควบคุม บริษัทอื่น หรือหน่วยงานของรัฐ
คณะกรรมการจะทำการคัดเลือกบริษัทในดัชนี 500 แต่ละแห่งโดยพิจารณาจากสภาพคล่อง ขนาด และชนิดของอุตสาหกรรม โดยมีการปรับสมดุลของดัชนีเป็นรายไตรมาสในเดือนมีนาคม มิถุนายน กันยายน และธันวาคม สำหรับบริษัทที่จะมีคุณสมบัติเป็นดัชนีได้นั้น บริษัทจะต้องอยู่ในสหรัฐอเมริกาและมีมูลค่าทางการตลาดอย่างน้อย 6.1 พันล้านเหรียญ และอย่างน้อย 50% ของหุ้นของบริษัทจะต้องเปิดเผยต่อสาธารณชน ราคาหุ้นต้องมีมูลค่าอย่างน้อย 1 ดอลลาร์ต่อหุ้น จะต้องยื่นรายงานประจำปี 10-K และอย่างน้อย 50% ของสินทรัพย์ถาวรและรายได้จะต้องอยู่ในสหรัฐอเมริกาและท้ายที่สุดจะต้องมีผลกำไรเป็นบวกอย่างน้อยสี่ไตรมาสติดต่อกัน
หุ้นจะต้องเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก Investors Exchange, NASDAQ หรือ BATS ไม่สามารถทำการซื้อขายระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายกันเองโดยตรง (over-the-counter) หรือทำการซื้อขายนอกตลาด (pink sheet) ได้
โดยสรุปแล้วหากบริษัทต้องการเป็นหนึ่งในดัชนี S&P 500 จะต้องตรงตามเกณฑ์การคัดเลือก ดังนี้
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด: ต้องมีมูลค่า 14,600 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป (ณ ปี 2024)
สภาพคล่อง: ปริมาณการซื้อขายสูงและตลาดที่มีการซื้อขายคึกคัก
ที่ตั้ง: ต้องเป็นบริษัทที่มีฐานอยู่ในสหรัฐอเมริกา
รายได้: มีกำไรอย่างสม่ำเสมอในสี่ไตรมาสที่ผ่านมา
หุ้นที่ออกสู่ตลาด: ต้องมีหุ้นอย่างน้อย 50% ที่ออกสู่ตลาด
การเป็นตัวแทนภาคส่วน: ครอบคลุมทั้ง 11 ภาคส่วนของเศรษฐกิจ
S&P 500 คำนวณอย่างไร
S&P 500 ใช้วิธีการถ่วงน้ำหนักมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market cap) โดยให้การจัดสรรเปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่าให้กับ บริษัท ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดมากที่สุด
รายชื่อหุ้นใน S&P 500
ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2024 น้ำหนักของภาคส่วนในดัชนี S&P 500 ได้มีการพัฒนาเพื่อสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ภาคส่วนเทคโนโลยีสารสนเทศได้ขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยปัจจุบันมีสัดส่วน 33.01% ของดัชนี ซึ่งเน้นย้ำถึงอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดังต่อไปนี้
ภาคการเงินตามมาด้วยสัดส่วน 12.90%
ภาคการดูแลสุขภาพอยู่ที่ 11.17%
ภาคส่วนสินค้าฟุ่มเฟือยที่ 10.21%
ภาคส่วนอื่นๆ ได้แก่
บริการสื่อสาร (9.91%)
อุตสาหกรรม (7.55%)
สินค้าอุปโภคบริโภค (5.76%)
พลังงาน (3.37%)
สาธารณูปโภค (2.70%)
และอสังหาริมทรัพย์ (2.28%)
หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประสิทธิภาพของดัชนี S&P 500 โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนวันเลือกตั้งปี 2024 ดัชนีเพิ่มขึ้น 1.2% เนื่องจากความโดดเด่นของเทคโนโลยียังคงปรับเปลี่ยนตลาด บริษัทต่างๆ เช่น Nvidia, Tesla, Meta และ Amazon มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยน้ำหนักของ Nvidia ในดัชนีพุ่งสูงขึ้นจาก 0.7% ในปี 2016 เป็น 6.9% ในปี 2024 ซึ่งขับเคลื่อนจากเทคโนโลยี AI
ปัจจุบันหุ้นเทคโนโลยีของ S&P 500 ประกอบด้วย 31.7% เพิ่มขึ้นจาก 21.4% ในปี 2016 โดยบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่และบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีคิดเป็น 43.2% การเปลี่ยนแปลงนี้เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของภาคส่วนนี้ในตลาดหุ้น แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้น แต่หุ้นเทคโนโลยีก็เห็นการเติบโตของมูลค่าอย่างมีนัยสำคัญ โดยภาคส่วนนี้ซื้อขายที่ 28.4 เท่าของรายได้ล่วงหน้า 12 เดือน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี
กองทุนเช่น T. Rowe Price Technology ETF ให้ความสำคัญกับ "เทคโนโลยีหลัก" และลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทั้งในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก การพุ่งขึ้นดังกล่าวเน้นย้ำว่าการขยายตัวอย่างรวดเร็วและการเติบโตของรายได้ของบริษัทเทคโนโลยีได้ทำให้บริษัทเทคโนโลยีกลายเป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลงของตลาด ส่งผลให้นักลงทุนที่จัดสรรเงินทุนในพื้นที่นี้ต้องแบกรับความเสี่ยงมากขึ้น
S&P 500 และ Dow Jones แตกต่างกันอย่างไร
ดัชนี S&P 500 และดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) เป็นดัชนีตลาดหุ้นหลัก 2 ตัวของสหรัฐฯ ซึ่งแต่ละดัชนีให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการดำเนินงานของตลาดที่ไม่ซ้ำใคร ดัชนี S&P 500 ประกอบด้วยบริษัทขนาดใหญ่ 500 แห่ง และใช้การถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด โดยบริษัทขนาดใหญ่จะมีอิทธิพลต่อดัชนีมากกว่า ดัชนีครอบคลุมอุตสาหกรรมต่างๆ มากมาย เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ การดูแลสุขภาพ และการเงิน ซึ่งแสดงถึงเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้อย่างครอบคลุม บริษัทต่างๆ เช่น Apple, Microsoft และ Amazon เป็นองค์ประกอบสำคัญ ดัชนี S&P 500 มักใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงสำหรับการดำเนินงานของตลาดโดยรวม ทำให้เป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลาย
ในทางกลับกัน ดัชนี DJIA ประกอบด้วยบริษัทชั้นนำเพียง 30 แห่ง และถ่วงน้ำหนักตามราคา ซึ่งหมายความว่าหุ้นที่มีราคาสูงจะมีผลกระทบต่อดัชนีมากกว่า ไม่ว่าขนาดตลาดจะเป็นเท่าใดก็ตาม ดัชนี DJIA มุ่งเน้นไปที่บริษัทที่เติบโตเต็มที่และก่อตั้งมาอย่างยาวนาน เช่น Boeing, McDonald’s และ Coca-Cola ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจชั้นนำของสหรัฐฯ ขอบเขตที่แคบกว่าทำให้มีการกระจายความเสี่ยงน้อยกว่า S&P 500 แต่มีค่าในการวัดผลการดำเนินงานของผู้นำอุตสาหกรรมหลัก
แม้ว่า S&P 500 จะนำเสนอภาพรวมตลาดที่ครอบคลุม แต่ DJIA ก็เน้นที่บริษัทขนาดใหญ่ที่น่าเชื่อถือ ดัชนีทั้งสองเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่สำคัญ โดยแต่ละดัชนีตอบสนองความต้องการและมุมมองด้านการลงทุนที่แตกต่างกัน
ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง S&P 500 และ Dow Jones
S&P 50 | Dow Jones | |
บริษัท | บริษัทขนาดใหญ่ 500 แห่งในสหรัฐฯ | บริษัทชั้นนำ 30 แห่งในสหรัฐฯ |
หลักการถ่วงน้ำหนัก | ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด บริษัทขนาดใหญ่จะมีอิทธิพลต่อดัชนีมากกว่า | ถ่วงน้ำหนักตามราคา หุ้นที่มีราคาสูงจะมีอิทธิพลต่อดัชนีมากกว่า โดยไม่คำนึงถึงมูลค่าตลาด |
อุตสาหกรรม | ครอบคลุมอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท รวมถึงภาคส่วนต่างๆ เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ การดูแลสุขภาพ การเงิน และสินค้าอุปโภคบริโภค | เน้นที่บริษัทที่มีชื่อเสียงในอุตสาหกรรมต่างๆ |
วัตถุประสงค์ | วัดประสิทธิภาพโดยรวมของตลาดหุ้นและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ | สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทขนาดใหญ่ที่โดดเด่นในสหรัฐฯ |
ตัวอย่างบริษัทที่มีชื่อเสียง | Apple, Microsoft, Amazon, Nvidia, Alphabet (Google), Tesla และ JPMorgan Chase | Boeing, Goldman Sachs, McDonald’s, Microsoft, Coca-Cola และ Walt Disney |
เหมาะกับใคร | ให้มุมมองที่หลากหลาย เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสัมผัสกับตลาดสหรัฐฯ ทั้งหมด | ให้มุมมองที่แคบลง โดยเน้นที่บริษัทที่มีชื่อเสียงและเติบโตเต็มที่ |
เพื่อนๆ นักลงทุนอย่าลืมติดตามดัชนี S&P500 ก่อนการลงทุนด้วยนะครับ เพราะเป็นตัวเลขสำคัญที่จะสะท้อนภาวะตลาดในแต่ละวัน ขอให้เพื่อนๆ ลงทุนให้ประสบความสำเร็จครับ
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน