Dow Jones(DJIA) คืออะไร? สำคัญยังไง? ทำไมต้องดูทุกวัน
ดัชนี Dow Jones คือ ดัชนีที่มีการคำนวณมาจากราคาหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่และเป็นบริษัทที่เป็นผู้นำทางด้านอุตสาหกรรม โดยตัวดัชนีดาวน์โจนส์ คือ สิ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลประกอบการของบริษัทใน Dow Jones Industrial Average (DJIA) ว่าเป็นไปในทิศทางใด ทั้งยังส่งผลต่อทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาและตลาดหุ้นทั่วโลกอีกด้วย หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมทุกครั้งที่ตลาดดาวโจนส์ปิดด้วยผลบวก ในเวลาเช้าวันต่อมาทำไมตลาดหุ้นในเอเชียถึงดูสดใสเช่นกัน แสดงว่าดัชนีหุ้นดาวโจนส์ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงราคาตลาดหุ้นทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ
ดังนั้นเนื้อหาในบทความนี้เราจะพานักลงทุนทุกท่านมาทำความรู้จักกับ “ดัชนี Dow Jones” อย่างละเอียดว่า ดัชนี Dow Jones คืออะไร มีความสำคัญอย่างไรต่อตลาดหุ้นทั่วโลกพร้อมเผยรายชื่อบริษัทที่อยู่ในดัชนี Dow Jones วิธีการคำนวณดัชนี Dow Jones ทำอย่างไร พร้อมหยิบยกประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ การวิเคราะห์แนวโน้มดัชนีหุ้น Dow Jones ปี 2023 มาให้นักลงทุนทุกท่านได้ศึกษาเพื่อเป็นแนวทางในการลงทุนของตัวเองภายในปีนี้
ดัชนี Dow Jones คืออะไร
ดัชนีดาวโจนส์ หรือ Dow Jones Industrial Average (DJIA) คือ ดัชนีตลาดหุ้นตราสารทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเป็นกลุ่มดัชนีที่มีการคำนวนจากหุ้น ‘Bluechip’ ที่มีบริษัทใหญ่สุด 30 บริษัทจากตลาดซื้อขายหุ้น NYSE (ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก) และ NASDAQ (ตลาดแนสแด็ก คอมโพสิต)
สำหรับกลุ่มบริษัทที่อยู่ในดัชนีดาวโจนส์ จะเป็นกลุ่มบริษัทอุตาหกรรมขนาดใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกาและมีอิทธิพล มีการใช้งานเยอะ และสามารถรับรู้รายรับได้จากทุกมุมโลก
โดยกลุ่มบริษัทเหล่านี้จะต้องมีคุณสมบัติผ่านตามเกณฑ์การคำนวณจาก Wall Street Journal และ Dow Jones & Company ซึ่งเป็นระบบการคำนวณที่ได้การยอมรับมากที่สุด โดยผลคำนวณดัชนีที่จากการคำนวณดังกล่าวนอกจากจะสามารถบ่งบอกภาพรวมสภาวะเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาได้เป็นอย่างดีแล้วนั้น ยังสามารถบอกภาพรวมสถานการ์ณเศรษฐกิจ ณ ช่วงเวลานั้นได้ดีด้วยเช่นกัน เนื่องจากว่ายอดขายหรือยอดรายรับของกลุ่มดัชนีดาวโจนส์ เป็นตัวแปรที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นและเศรษฐกิจของโลกด้วยนั่นเอง
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones) ถือเป็นหนึ่งในตัวดัชนีตลาดหุ้นในอเมริกาที่มีอายุยาวนานมากที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะมีการคำนวณดัชนีเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1896 โดยมีกลุ่มบริษัทที่ถูกคำนวณเพียงแค่ 12 บริษัทเท่านั้นในดัชนี ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงหุ้นในดัชนีมาทั้งหมด 48 ครั้ง ในระยะเวลา 114 ปีตั้งแต่ก่อตั้งมา ด้วยระยะที่มีการก่อตั้งมาอย่างยาวนานและได้รับยอมรับจากคนทั่วโลก จึงทำให้นักวิเคราะห์หลายประเทศได้มีการอ้างอิงข้อมูลการเปลี่ยนแปลงการขึ้นลงของดัชนีดาวโจนส์มาทำการวิเคราะห์และเปรียบเทียบกับสถานการ์ณเศรษฐกิจอยู่บ่อยครั้ง ตลอดจนถึงมาการนำทำการคาดการ์ณอนาคตของเศรษฐโลกอีกด้วยว่าจะเป็นไปในทิศทางใด
ดัชนี Dow Jones สำคัญอย่างไร
จากที่เกริ่นไปในหัวข้อก่อนหน้าเราก็พอจะเดาออกแล้วว่า “ดัชนี Dow Jones” มีความสำคัญอย่างไรต่อตลาดโลก ในหัวข้อนี้เราจะทำการอธิบายรายละเอียดอีกครั้งเพื่อให้ผู้อ่านมีความเข้าใจมากขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเด็นหลักๆดังต่อไปนี้
ดัชนีดาวโจนส์ มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากว่ากลุ่มหุ้นที่อยู่ในดัชนีดาวโจนส์นั้น เป็นบริษัทอุตสาหกรรมที่สร้างขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยตรง ซึ่งจะเป็นการแสดงให้เห็นว่าประเทศมีการจ้างาน มีการสร้างรายได้ เกิดขึ้นภายในประเทศ
ดัชนีหุ้นดาวน์โจนส์ มีความสำคัญต่อตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากว่ากลุ่มหุ้นดาวโจนส์มีบริษัทใหญ่ที่สุด 30 ที่มีอิทธิพลจากทั่วโลกอีกด้วย ดังนั้นมูลค่าตัวดัชนีที่คำนวณได้ก็จะมาจาก “ผลประกอบการของบริษัท”ที่อยู่ในกลุ่มหุ้นดาวโจนส์นั่นเอง ซึ่งถ้าหากผลดัชนีเป็นลบ ก็จะส่งผลให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในการลงทุน มองว่าบริษัทขาดทุน ไม่สามารถทำกำไรได้ก็จะทำให้นักลงทุนร่วมกันเทขายหุ้น ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเป็นลบ และเศรษฐกิจโลกเกิดการชะลอตัว แต่ในขณะเดียวกันถ้าผลการคำนวณดัชนีเป็นบวก นักลงทุนก็กล้าที่จะลงทุนกับบริษัท และมองว่าสามารถทำกำไรได้อย่างแน่นอน ทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
จาก 2 ประเด็นที่ทำการกล่าวไปในข้างต้นนั้น จะเห็นได้ว่าดัชนีหุ้นดาวโจนส์มีความสำคัญต่อการวัดมูลค่าความเป็นอยู่ของเศรษฐกิจทั่วโลกเป็นอย่างมาก
รายชื่อบริษัทที่อยู่ในดัชนี Dow Jones
(สามารถเช็ครายชื่อเต็มได้ที่ cnbc.com อ้างอิงข้อมูล ณ วันที่ 24/05/2023)
ทั้งนี้หุ้นที่อยู่ใน DJIA ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 3 ครั้งอย่างเป็นทางการ โดยเริ่มต้นครั้งแรกเมื่อปี 2004 เมื่อ Pfizer, Verizon และ American International Group เข้ามา ในส่วนครั้งที่ 2เกิดขึ้นในปี 2013 โดยมี Goldman Sachs, Visa และ Nike เพิ่มเข้ามา และมีการเปลี่ยนแปลงครั้งล่าสล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2021 ที่เป็นผลมาจากการแตกหุ้นของ Apple ในอัตราส่วน 4 ต่อ 1 จากนั้น Salesforce.com, Amgen และ Honeywell ก็ถูกเพิ่มเข้าไปในดัชนีแทนที่ Exxon Mobil, Pfizer และ Raytheon Technologies นั่นเอง
วิธีการคำนวณดัชนีหุ้น Dow Jones
Dow Jones Index จะมีการคำนวณโดยหุ้นที่มีราคาสูงจะถ่วงน้ำหนักมากกว่าดัชนี เพราะฉะนั้นถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงของเปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่าในหุ้นที่มีราคาสูง จะทำให้มีผลกระทบมากกว่าในการคำนวณ ในช่วงเริ่มแรกของการคำนวณค่าเฉลี่ย คำนวณโดยการใส่ราคาหุ้นทั้งสิบสองตัวในดาวโจนส์แล้วหารด้วย 12 ซึ่งจะออกมาเป็นผลลัพธ์ค่าเฉลี่ยอย่างง่าย
ในเวลาต่อมามีการเปลี่ยนวิธีคำนวณดาวโจนท์โดยมีวิธีคิดจากค่าเฉลี่ยของราคาหุ้นซึ่งจะแตกต่างจาก S&P 500 และ Nasdaq ที่คิดจากการถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด หุ้นดาวโจนส์คำนวณโดยรวมราคาหุ้นทุกตัวในดัชนีแล้วหารด้วยตัวเลขที่เรียกว่า Divisor กันยายน 2020 = 0.152 ตามสูตรด้านล่าง คือ
DJIA = ผลรวม (ราคาหุ้นองค์ประกอบ) / Divisor (0.152)
ซึ่ง Divisor เป็นตัวเลขที่มีการปรับสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของหุ้น วิธีนี้จะทำให้ราคาหุ้นมีน้ำหนักต่อดัชนีมากกว่ามูลค่าตลาด
ยกตัวอย่างเช่น หุ้น apple ราคา 120 เหรียญ ราคาหุ้นน้อยกว่าราคาหุ้น walmart ที่มีราคา 140 เหรียญ แต่ walmart กลับมีน้ำหนักต่อดัชนีมากกว่า ทั้งๆที่หุ้น apple มีมูลค่าตลาด 2.1 ล้านล้านเหรียญมากกว่า walmart เกือบ 5 เท่า เป็นต้น
หลักทรัพย์ที่มีสิทธิ์บรรจุเข้าดัชนีหุ้น Dow Jones จะต้องมีคุณสมบัติอย่างไร
สำหรับคุณสมบัติของตัวหลักทรัพย์ที่จะถูกบรรจุเข้าในดัชนีหุ้น Dow Jones Industrial Average (DJIA) จะต้องเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และมีบทบาทต่ออิทธิพลทั่วโลก กล่าวคือ สินค้าหรือผลผลิตจากบริษัทนั้นจะต้องมีมูลค่าที่สูง โดยหลักการการคัดเลือกหลักทรัพย์ะเข้าดัชนีหุ้นดาวโจนส์นั้นจะเน้นที่ราคาของหุ้นเป็นหลัก แน่นอนว่าราคาหุ้นของบริษัทไหนที่มีมูลค่าสูง และผ่านคำนวณการตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 30 อันแรก ก็จะถูกนำมาบรรจุเข้าดัชนีหุ้น Dow Jones นั่นเอง ซึ่งจะแตกต่างจากดัชนีอื่นๆของอเมริกา
ในทุกๆปีดัชนีดาวโจนส์จะมีการคำนวณดัชนีด้วยระบบ Wall Street Journal และ Dow Jones & Company อยู่เป็นประจำ เพื่อต้องการดูว่าจะต้องปรับหุ้นตัวไหนออกและควรนำหุ้นตัวไหนเข้ามาแทนที่ ตัวอย่างหุ้นที่โดนถอนออกจาก Dow Jones ก็คือ General Motors และ Citigroup เนื่องจากราคาหุ้น และขนาดทุนจดทะเบียนต่ำกว่าเกณฑ์การคำนวณนั้นเอง จากนั้นก็ถูกแทนที่โดย Travelers Companies และ Cisco Systems
ปัจจัยที่ส่งผลต่อดัชนี Dow Jones
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อดัชนี Dow Jones หลักๆเลยก็คือ ข่าวจากบริษัทต่างๆ ที่อยู่ในกลุ่มหุ้นดัชนีดาวโจนส์ โดยเฉพาะข่าวจากบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น American Express, Apple, Boeing, Caterpillar และ Chevron เป็นต้น ทั้งนี้ยังปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อดาวโจนส์อีกด้วย โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ปัจจัยจากข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา : ข้อนี้ถือว่าเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลดัชนีหุ้นดาวโจนส์เป็นอย่างมาก เนื่องจากว่าเป็นข้อมูลทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องอัตราการว่างงานของในประเทศ ดุลการค้า อัตราการเติบโต GDP ของประเทศ อัตราเงินเฟ้อ ยอดการค้าปลีกและสินค้าคงทน ตลอดถึงจนถึงคำสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจัยในข้อนี้จะแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นทางธุรกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคภายในประเทศ ทำให้นักลงทุนสามารถคาดการ์ณราคาดัชนีหุ้นดาวโจนส์ได้นั่นเอง
ปัจจัยจากอัตราแลกเปลี่ยนตราดอลลาร์สหรัฐ : ค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ถือว่าเป็นปัจจัยที่สามารถส่งผลกระทบต่อดัชนีดาวโจนส์ได้เช่นกัน เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรจากการส่งออกหรือนำเข้าของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ หากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐลดลง ทำให้ดัชนีหุ้นเกิดแปรผันไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีนัยสำคัญ
ปัจจัยจากข่าวสารจากธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา : ปัจจัยข้อสุดท้ายที่ส่งผลดัชนีดาวโจนส์ก็คือ การประกาศข้อมูลเกี่ยวกับการปรับอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลางของประเทศ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยจะเป็นตัวชี้วัดว่า สถานเศรษฐกิจภาพรวมในประเทศนี้เป็นไปในทิศทางใด มีภาวะเศรษฐกิจหรือไม่ เศรษฐกิจกำลังชะลอตัว ภาคอุตสาหกรรมชะลอการผลิตเป็นต้น
ดาวโจนส์ย้อนหลัง - วันสำคัญทางประวัติศาสตร์
การวิเคราะห์แนวโน้มดัชนี Dow Jones ย้อนหลัง
ในหัวข้อนี้เราจะทำการอธิบายเกี่ยวกับการวิเคราะห์แนวโน้มดัชนดาวโจนส์ย้อนหลัง โดยเริ่มต้นจากปี 2010 - 2020 ซึ่งเป็นประเด็นที่ค่อนข้างน่าสนใจโดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. ปี 2010 - ปี 2015
หลังจากที่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2009 ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ได้ปรับตัวสูงขึ้น นักลงทุนมองเห็นโอกาสในการลงทุน ส่งผลให้ดัชนีสามารถสร้างผลตอบแทนได้ 185% ในระยะเวลา 5 ปี ดังภาพกราฟด้านล่าง
2. ปี 2016 - ปี 2018
ภายหลังจากเลือกตั้งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงเดือนธันวาคมปี 2016 ส่งผลให้ดาวโจนส์ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 48% ในช่วงระยะเวลา 2 ปี
3. ปี 2020
ในช่วงสถานการ์ณโควิด -19 กำลังอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจทั่วโลกเกิดการชะลอตัว ในกลุ่มนักลงทุนได้มองเห็นวิกฤตนี้ จึงทำการ Short และกำไรจากการปรับตัวลงของดัชนีดาวโจนส์ ก่อนที่จะทำการเปลี่ยนฝั่งไปทำกำไรกับช่วงตลาดขาขึ้นของ Dow Jones ดังภาพด้านล่าง
4. ปี 2020 - ปี 2021
หลังจากเกิดวิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้ดัชนีมูลค่าที่ต่ำลงมากในสุดในช่วงเดือนมีนาคมปี 2020 ไปจนถึงช่วงกลางปี 2021 ดัชนีดาวโจนส์ได้มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น 76.8% ซึ่งสร้างโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ทำการลงทุนในระยะยาวและในระยะสั้นเช่นกัน
(ที่มาของรูปภาพ atfx.com)
การวิเคราะห์แนวโน้มดัชนี Dow Jones ในปี 2023
เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เศรษบกิจทั่วโลกเกิดการชะลอตัวและเผชิญปัญหาเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้ออย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้ราคาหุ้นดัชนีดาวน์โจนส์มีราคาที่ค่อนข้างผันผวนในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ดังนั้นในประเด็นนี้ทางผู้เขียนจึงได้ทำการอ้างอิงข้อการวิเคราะห์ดัชนี Dow Jones ในครึ่งปีหลัง 2023 มาให้นักลงทุกท่านได้ศึกษาไว้เป็นแนวทางการลงทุน ทั้งนี้เป็นแค่เพียงการคาดการ์ณในเบื้องต้นเท่านั้น นักลงทุนทุกท่านจำเป็นที่ต้องติดตามสถานการ์ณข่าวแบบเรียลไทม์เพื่อเป็นเหตุผลประกอบการตัดสินใจในการลงทุน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
(อ้างอิงข้อมูลจาก Longforecast.com)
ลงทุนในดัชนี Dow Jones ยังไง
สำหรับใครที่มีความสนใจที่อยากจะลงทุนในดัชนี Dow Jones สามารถเลือกวิธีการลงทุนได้ 2 ช่องทาง ดังต่อไปนี้
1. ลงทุนซื้อหุ้นที่อยู่รายชื่อดัชนี Dow Jones ทุกราย
วันนี้ทุกคนสามารถเข้ามาเทรดดัชนีดาวโจนส์ ผ่านตราสารฟิวเจอร์ส (Futrue) แต่พึงระวังในข้อเสียสำหรับคนที่มีทุนน้อย เพราะการเทรดจากตราสารนั้นใช้เงินลุงทุนในการเริ่มต้นเทรดสูงมาก ผู้เล่นที่เริ่มต้นเทรดจึงเข้าถึงได้ยากและบางรายยังไม่สามารถรับความเสี่ยงสูงได้ ทั้งยังมีค่าธรรมเนียมที่แพง และที่สำคัญการเทรดผ่านตราสารฟิวเจอร์เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีประสบการ์ณสูงและสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้เป้นอย่างดี
2. ลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ติดตามดัชนี Dow Jones
อีกหนึ่งช่องทางการลงทุน ที่ลดต้นทุนในความเสี่ยงจากการลงทุนในดัชนีหุ้นดาวโจนส์คือการเลือกลงทุนกับโบรกเกอร์ที่ให้บริการเทรดดาวโจนส์ผ่านตราสารที่เรียกว่า CFD ผลิตภัณฑ์ตัวนี้จะสามารถเริ่มด้วยทุนที่น้อยกว่ามาก สำหรับดาวโจนส์ index ที่เทรดผ่านตราสาร CFD จะสามารถใช้ Leverage หรือ 'อัตราทด' ซึ่งทำให้เทรดเดอร์ลงทุนได้มากกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่จริงๆ ได้ตั้งแต่ 10 - 100 เท่า และทั้งหมดนี้สามารถเทรดผ่านแพลตฟอร์มการเทรดมาตรฐาน Mitrade ของเราได้ กระดานเทรดรองรับทุกแพลตฟอร์มไม่ว่าจะเป็น Smartphone ระบบ Android หรือ IOS ตลอดจนถึงระบบคอมพิวเตอร์ Windows ก็สามารถเข้ามาเปิดบัญชีแล้วสามารถได้ด้วยตัว รับประกันความปลอดภัย เราคือโบรกเกอร์ที่มีความน่าเชื่อถือจากสถิติผู้ใช้งานมากกว่า 2 ล้านคนทั่วโลก
เทรดดัชนี Dow Jones ด้วย CFD กับโบรกเกอร์ชั้นนำของโลก ฝึกเทรดด้วยเงินเสมือนจริงฟรี $50, 000 ดอลลาร์ ↓↓↓
สรุป
เนื้อหาในบทความนี้ไม่ได้เป็นการชักชวนให้ทุกท่านเข้ามาลงทุนแต่อย่างใด แต่เป็นการนำเสนอความรู้เกี่ยวกับดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average (DJIA) ) ดัชนีหุ้นที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา และเป็นดัชนีที่ถูกนำมาใช้วัดมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ได้รับการยอมรับมาที่สุดอีกด้วย พร้อมอธิบายเกี่ยวกับปัจจัยสำคัญอะไรบ้างที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของดัชนีดังกล่าว พร้อมนำข้อมูลการคาดการ์ณการแนวโน้มดัชนี Dow Jones ในปี 2023 มาให้ทุกคนได้ศึกษาเป็นแนวทางการลงทุนในอนาคตอีกด้วย เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นมีความเสี่ยงสูงมาก ดังนั้นนักลงทุนทุกท่านจำเป้นที่จะต้องศึกษารายละเอียดข้อมูลให้ดีก่อนลงทุนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดารสูญเสียสินทรัพย์ ทางผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านทุกท่าน
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน