แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ 2567: จับจังหวะลงทุนหลัง FED เริ่มลดดอกเบี้ย
วันนี้ เราจะมาวิเคราะห์กันอย่างละเอียดเกี่ยวกับ “แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ 2567” โดยเฉพาะในจังหวะสำคัญที่ FED กำลังเริ่มปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการลงทุนในสินทรัพย์ทุกประเภท มาดูกันว่าเราจะวางกลยุทธ์การลงทุนอย่างไรให้ได้ผลตอบแทนที่ดีในสภาวะตลาดที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงนี้
ทำไมต้องรู้จักค่าเงินดอลลาร์?
ในโลกการลงทุน การเข้าใจการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์ถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่ขาดไม่ได้ เพราะดอลลาร์ไม่ได้เป็นเพียงสกุลเงินของประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวกลางในการซื้อขายระหว่างประเทศที่สำคัญที่สุดในโลก โดยปัจจุบันมีสัดส่วนการใช้ในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศสูงถึง 88%
ลองนึกภาพว่าคุณเป็นผู้จัดการกองทุนที่ต้องบริหารพอร์ตการลงทุนมูลค่าหลายพันล้านบาท การเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์เพียง 1% ก็สามารถสร้างผลกำไรหรือขาดทุนได้มหาศาล ยิ่งไปกว่านั้นดอลลาร์ยังเป็นสกุลเงินอ้างอิง (Reference Currency) สำหรับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญของโลก ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ทองคำ หรือแม้แต่สินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Bitcoin
ความพิเศษของดอลลาร์อยู่ที่การเป็น “สกุลเงินสำรองหลักของโลก” (Global Reserve Currency) ซึ่งธนาคารกลางทั่วโลกถือครองไว้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ ในแง่มุมของนักลงทุน นี่หมายความว่าการเคลื่อนไหวของดอลลาร์จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังสินทรัพย์และตลาดการเงินทั่วโลก เช่น เมื่อดอลลาร์แข็งค่า มักจะทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ซื้อขายเป็นดอลลาร์ปรับตัวลดลง เพราะผู้ซื้อในประเทศอื่นๆ ต้องใช้เงินในสกุลของตนมากขึ้นในการซื้อสินค้าเหล่านั้น
ที่มา: IMF
รู้ทันทุกปัจจัยที่กระทบค่าเงินดอลลาร์
การวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีหลายมิติ แต่หากเข้าใจหลักการพื้นฐาน ก็จะสามารถคาดการณ์ทิศทางได้แม่นยำมากขึ้น
ปัจจัยแรกและสำคัญที่สุด คือนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) โดยเฉพาะการปรับขึ้น-ลงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงปี 2565-2566 ที่ผ่านมา FED ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วและรุนแรงจาก 0.25% ไปสู่ระดับ 5.25-5.50% เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ ส่งผลให้เกิดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Differential) ที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ กระตุ้นให้เกิดการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศ (Capital Inflow) เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่า ทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ปัจจัยที่สอง คือสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนผ่านตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-farm Payroll), ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI), ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เป็นต้น หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตแข็งแกร่ง จะดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และการลงทุนในตลาดการเงิน ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการถือครองดอลลาร์เพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ ในช่วงที่เกิดความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามการค้า ความขัดแย้งระหว่างประเทศ หรือวิกฤตการเงิน นักลงทุนมักจะเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-haven Assets) โดยดอลลาร์ถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ปลอดภัยที่ได้รับความนิยมสูงสุด
วิเคราะห์แนวโน้มค่าเงินดอลล่าร์ 2567: ส่องอดีต มองอนาคต
ก่อนที่จะมองไปถึงอนาคต การวิเคราะห์แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ต้องพิจารณาทั้งปัจจัยทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน โดยเริ่มจากการวิเคราะห์กราฟดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (US Dollar Index - DXY) ที่วัดค่าเงินดอลลาร์เทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลัก 6 สกุล หากมองในมุมมองระยะยาว กราฟรายเดือนของดัชนี DXY แสดงให้เห็นการเคลื่อนไหวในกรอบขาขึ้นที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2551 โดยเราสามารถแบ่งการเคลื่อนไหวออกเป็นช่วงสำคัญดังนี้
ช่วงที่ 1: ยุค QE กดดันดอลลาร์ (2552-2554)
ในช่วงนี้ FED ใช้นโยบาย QE1 (2551-2553) และ QE2 (2553-2554) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤต Subprime ส่งผลให้ดัชนี DXY อ่อนค่าลงมาเคลื่อนไหวในกรอบ 73-83 จุด โดยมีแรงกดดันจากสภาพคล่องมหาศาลที่ FED อัดฉีดเข้าระบบ ในแง่เทคนิค เราเห็นการสร้างฐานที่แข็งแกร่งบริเวณ 73-75 จุด มีการทดสอบแนวรับนี้ในช่วงปี 2552-2554 แต่ไม่หลุด สะท้อนว่าตลาดเริ่มมองว่าดอลลาร์อ่อนค่าเกินปัจจัยพื้นฐาน
ช่วงที่ 2: ยุควิกฤตหนี้ยุโรป (2555-2557)
แม้ว่า FED จะเริ่ม QE3 ในช่วงนี้ แต่วิกฤตหนี้กรีซที่ลุกลามไปทั่วยุโรปกลับส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น เนื่องจากนักลงทุนเทขายยูโรและหันมาถือดอลลาร์เป็น Safe Haven แทน ดัชนี DXY เริ่มสร้าง Higher Lows อย่างต่อเนื่อง และเคลื่อนตัวขึ้นจากระดับ 75 จุดมาที่ 78-83 จุด
ช่วงที่ 3: ยุคดอลลาร์ทะยาน (2557-2559)
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ FED ประกาศยุติ QE3 ในปลายปี 2557 และส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย ประกอบกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวดีกว่าประเทศอื่น ทำให้ดัชนี DXY Break Out จากกรอบการเคลื่อนไหวเดิมอย่างรุนแรง พุ่งขึ้นจาก 80 จุดไปแตะระดับ 100 จุด การ Break Out เกิดขึ้นพร้อมกับ Momentum ที่แข็งแกร่ง โดย RSI พุ่งเข้าสู่เขต Overbought และอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานาน
ช่วงที่ 4: ยุคผันผวนจากนโยบายทรัมป์ (2560-2562)
นโยบาย America First และสงครามการค้ากับจีนในยุคประธานาธิบดีทรัมป์ สร้างความผันผวนให้ค่าเงินดอลลาร์ ดัชนี DXY เคลื่อนไหวในกรอบกว้าง 90-100 จุด มีทั้งแรงหนุนจากการขึ้นดอกเบี้ยของ FED และแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ในช่วงนี้เกิดรูปแบบ Consolidation ที่ชัดเจน โดยมีการทดสอบแนวต้านที่ 100 จุดแต่ไม่สามารถผ่านขึ้นไปได้
ช่วงที่ 5: ยุคโควิดและดอกเบี้ยศูนย์ (2563-2564)
การระบาดของ COVID-19 ทำให้ FED ต้องลดดอกเบี้ยฉุกเฉินลงสู่ระดับ 0-0.25% ในมีนาคม 2563 พร้อมกับอัดฉีดสภาพคล่องมหาศาลผ่าน QE ดัชนี DXY ปรับตัวลงแรงในช่วงแรกจาก 100 จุดมาที่ 90 จุด แต่น่าสนใจที่แนวรับนี้สามารถรับแรงขายได้อย่างแข็งแกร่ง เกิดการสร้าง Triple Bottom ที่ระดับ 89-90 จุด ทั้งที่ปัจจัยพื้นฐานไม่เอื้อหนุนเลย สะท้อนว่าตลาดยังเชื่อมั่นในสถานะ Safe Haven ของดอลลาร์
ช่วงที่ 6: ยุคเงินเฟ้อและดอลลาร์ทะยานครั้งใหญ่ (2565-2566)
เงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นหลังการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ทำให้ FED ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วจาก 0.25% ในมีนาคม 2565 ไปสู่ระดับ 5.25-5.50% ในกรกฎาคม 2566 ส่งผลให้ดัชนี DXY พุ่งทะยานจาก 95 จุดไปทำจุดสูงสุดที่ 114 จุด เป็นระดับสูงสุดในรอบ 20 ปี การเคลื่อนไหวมีลักษณะเป็น Parabolic Move ที่เร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนถึงการเก็งกำไรและ FOMO ในตลาด
ปัจจุบัน ปี 2567
ดัชนี DXY เคลื่อนไหวที่ระดับ 103-104 จุด หลังจากปรับตัวลงจากจุดสูงสุดที่ 114 จุดในปี 2565 โดยการอ่อนค่าของดอลลาร์เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมีการพักตัวเป็นระยะ สะท้อนว่าตลาดกำลังปรับตัวรับกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของ FED ที่กำลังจะเกิดขึ้น ในแง่เทคนิค การเกิดรูปแบบ Double Top ที่ 107 จุดในช่วงปลายปี 2566 - กลางปี 2567 เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญว่าแรงซื้อเริ่มอ่อนแรงลง
จุดสำคัญที่ต้องจับตาในขณะนี้คือบริเวณ 103 จุด ซึ่งเป็นระดับของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน ที่กำลังถูกทดสอบเป็นแนวรับ การหลุดระดับนี้ลงมาอาจนำไปสู่การปรับฐานที่ลึกขึ้น
ในด้านปัจจัยพื้นฐาน ตลาดกำลังจับตาทิศทางนโยบายการเงินของ FED ที่ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีการปรับลดประมาณ 3-4 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 100-125 basis points แม้ว่าเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงต่อเนื่องแต่ก็ยังอยู่เหนือเป้าหมาย 2% ขณะที่ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง สะท้อนว่าเศรษฐกิจยังมีความยืดหยุ่นสูง
มองไปในปี 2568
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศอื่นๆ จะเริ่มแคบลง โดยเฉพาะเมื่อ ECB และ BOJ เริ่มปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของตนเอง อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะช่วยพยุงค่าเงินไว้ไม่ให้อ่อนค่ารุนแรงเกินไป คาดว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวในกรอบ 95-102 จุด
นอกจากปัจจัยเรื่องส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่จะแคบลงแล้ว การวิเคราะห์ทางเทคนิคระยะยาวชี้ให้เห็นว่าดัชนี DXY กำลังเคลื่อนที่ในรูปแบบ Ascending Channel ที่ก่อตัวมาตั้งแต่จุดเริ่มต้นในปี 2551 จนถึงจุดสูงสุดในปี 2565 โดยมีแนวต้านของ Channel อยู่ที่บริเวณ 115 จุด และแนวรับที่ 95 จุด ที่น่าสนใจคือบริเวณ 95 จุดนี้ยังเคยเป็นระดับแนวรับแนวต้านสำคัญในอดีตหลักการ Polarity ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคบ่งชี้ว่าแนวต้านเก่ามักจะกลายเป็นแนวรับใหม่ที่แข็งแกร่ง
อนาคตปี 2569
แรงกดดันต่อดอลลาร์อาจเพิ่มขึ้นจากปัญหาการขาดดุลงบประมาณและการค้าของสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงแนวโน้มการลดการพึ่งพาดอลลาร์ (De-dollarization) ที่อาจเร่งตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม สถานะการเป็นสกุลเงินสำรองหลักของโลกและความน่าเชื่อถือของระบบการเงินสหรัฐฯ จะยังคงเป็นปัจจัยหนุนสำคัญ ทำให้การอ่อนค่าน่าจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยคาดว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวในกรอบ 95-110 จุด
อย่างไรก็ตาม เส้นแนวรับบริเวณ 95 จุดจะเป็นระดับสำคัญมาก การหลุดระดับนี้ลงมาจะเป็นสัญญาณการเริ่มต้น Downtrend ระยะยาว โดยมีเป้าหมายทางเทคนิคที่ระดับ 89-90 จุด ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดเก่าในช่วงปี 2563-2564
ทำกำไรอย่างไร? กลยุทธ์ลงทุนรับดอลลาร์ขาลง
ในสภาวะที่ดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่า นักลงทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้หลากหลายรูปแบบ โดยทองคำถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่น่าสนใจที่สุด เนื่องจากมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับค่าเงินดอลลาร์ นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในทองคำได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่การซื้อทองคำแท่งโดยตรง ซึ่งแม้จะมีต้นทุนในการเก็บรักษาและความเสี่ยงจากการขนส่ง แต่ก็ปลอดจากความเสี่ยงด้านคู่สัญญา ไปจนถึงการลงทุนผ่าน ETF ที่มีสภาพคล่องสูงและค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมต่ำ
สำหรับนักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ค่าเงิน การเทรดในตลาด Forex ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ โดยอาจพิจารณาเปิดสถานะขาย (Short) ดอลลาร์เทียบกับสกุลเงินที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง เช่น ยูโรที่ได้รับแรงหนุนจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดของ ECB หรือเยนที่อาจได้ประโยชน์จากการที่ BOJ กำลังจะเริ่มปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินเข้าสู่ภาวะปกติ อย่างไรก็ตาม การเทรด Forex เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากมีการใช้ Leverage ในระดับสูง นักลงทุนจึงควรศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้และมีการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม
ฝั่งสินทรัพย์เสี่ยง (Risk Assets) ก็มักจะได้รับประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่สภาพคล่องในตลาดการเงินโลกยังอยู่ในระดับสูง นักลงทุนสามารถพิจารณาลงทุนในสินทรัพย์กลุ่มนี้เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาด
หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่ม Magnificent Seven (Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, Nvidia, Meta, Tesla) มักได้ประโยชน์จากดอลลาร์อ่อนค่า เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีรายได้จากต่างประเทศในสัดส่วนที่สูง เมื่อดอลลาร์อ่อนค่า รายได้เมื่อแปลงกลับมาเป็นดอลลาร์จะมีมูลค่าสูงขึ้น นอกจากนี้ การที่ดอลลาร์อ่อนค่ายังช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคาในตลาดต่างประเทศ เราเห็นตัวอย่างชัดเจนในช่วงปี 2563-2564 เมื่อดอลลาร์อ่อนค่าลง 15% ดัชนี NASDAQ 100 ปรับตัวขึ้นกว่า 80%
ขณะที่สินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Bitcoin และ Cryptocurrency อื่นๆ ก็มักจะมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับค่าเงินดอลลาร์ เนื่องจากนักลงทุนมักมองสินทรัพย์เหล่านี้เป็นทางเลือกในการป้องกันความเสี่ยงจากการอ่อนค่าของสกุลเงินหลัก (Fiat Currency) ยกตัวอย่างในช่วงปี 2563 เมื่อ FED ใช้นโยบาย Zero Interest Rate และ QE อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่า Bitcoin ปรับตัวขึ้นจากระดับ 5,000 ดอลลาร์ไปแตะระดับสูงสุดที่ 65,000 ดอลลาร์ในปีถัดมา
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดในการลงทุนคือการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม โดยไม่ควรทุ่มเทการลงทุนทั้งหมดไปกับกลยุทธ์ใดกลยุทธ์หนึ่ง แต่ควรผสมผสานหลายๆ กลยุทธ์เข้าด้วยกัน และมีการปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ ยังควรติดตามปัจจัยพื้นฐานและตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนได้ทันท่วงทีหากมีการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐาน
บทความที่คุณอาจจะสนใจด้วย >> |
บทสรุป: เตรียมพร้อมรับมือความผันผวนค่าเงินดอลลาร์
แม้ว่าแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ในปี 2567 และอนาคตจะมีทิศทางอ่อนค่า แต่การเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างเช่นนี้มักใช้เวลานาน และดอลลาร์ยังคงมีความได้เปรียบหลายประการ ทั้งความเป็นสกุลเงินที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก ความน่าเชื่อถือของระบบการเงินสหรัฐฯ และขนาดของตลาดทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดังนั้น แม้ว่าดอลลาร์อาจมีแนวโน้มอ่อนค่าลงในระยะยาว แต่ก็น่าจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเป็นระดับที่สะท้อนความสมดุลระหว่างบทบาทที่ลดลงของดอลลาร์กับความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ทำไมค่าเงินดอลลาร์จึงมีความสำคัญต่อการลงทุน?
เพราะค่าเงินดอลลาร์เป็นสกุลเงินหลักในการซื้อขายระหว่างประเทศและเป็นสกุลเงินสำรองของโลก การเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์จึงส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์เกือบทุกประเภท
หากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า สินทรัพย์ประเภทใดจะได้ประโยชน์?
สินทรัพย์ที่มักได้ประโยชน์ ได้แก่ ทองคำ สินค้าโภคภัณฑ์ หุ้น และคริปโต ซึ่งมักจะปรับตัวขึ้นเนื่องจากอัตราผลตอบแทนที่ดีกว่า
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน