สเปรด(Spread) คืออะไร?
สเปรด(Spread) คือสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญ ที่จำเป็นจะต้องเรียนรู้ เพราะถ้าเรารู้กลไกการทำงานของสเปรด(Spread) เราก็จะสามารถวางแผนกลยุทธ์การเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่ง สเปรด(Spread) คืออะไร เรื่องราวของ สเปรด(Spread) จะเป็นอย่างไร ก็สามารถไปอ่านต่อได้เลย...
สเปรด(Spread) คืออะไร?
สเปรด (Spread) คือ ความแตกต่างระหว่างราคาขาย (Bid) และราคาซื้อ (Ask) ของสกุลเงิน สินทรัพย์ หลักทรัพย์ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ เป็นคำที่ใช้กันทั่ว ๆ ไป ในอุตสาหกรรมการเงิน
● ในการเทรด forex นั้น สเปรด (Spread) จะหมายถึง ความแตกต่างระหว่างราคาขาย (Bid) และราคาซื้อ (Ask) สำหรับคู่สกุลเงิน
● ในการซื้อขายหุ้น สเปรด (Spread) จะหมายถึง เป็นความแตกต่างระหว่างราคาขาย (Bid) และราคาซื้อ (Ask) ของหุ้น
● ในการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล สเปรด (Spread) จะหมายถึง ความแตกต่างระหว่างราคาขาย (Bid) และราคาซื้อ (Ask) สำหรับสกุลเงินดิจิทัล
ดังนั้น หากกล่าวโดยย่อ คำจำกัดความของ Spread คือความแตกต่างระหว่าง ราคาขาย (Bid) และราคาซื้อ (Ask) ซึ่งความแตกต่างเหล่านี้ถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ เนื่องจากสามารถก่อให้เกิดโอกาสทำกำไรของนักลงทุน และในทางตรงกันข้ามสเปรด(Spread) ถือเป็นต้นทุนสำหรับนักลงทุน โดยสิ่งนี้ยังเป็นแหล่งที่มารายได้ของโบรกเกอร์อีกด้วย
มาดูตัวอย่างกัน...
บนแพลตฟอร์มการเทรด Mitrade จะแสดงราคาขาย (Bid) และราคาซื้อ (Ask) ดังนี้
ซึ่งหมายถึง เราสามารถซื้อ EUR/USD ได้ที่ 1.05680 และขาย EUR/USD ที่ 1.05672 ซึ่งหมายความว่าหากเราซื้อ EUR/USD แล้วปิดทันที จะส่งผลให้สูญเสีย 0.8 pip และโบรกเกอร์จะได้กำไร 0.8 pip (โดยปกติสเปรดกำหนดค่าเป็น pip)
นอกจากนี้ โบรกเกอร์ forex ส่วนใหญ่ สามารถทำเงินได้จากสเปรด เป็นค่าธรรมเนียมสำหรับการซื้อขาย
มันคล้าย ๆ กับตอนที่เราต้องการจะขายทอง ถ้าเราซื้อทองมาในราคา $500 การที่จะขายให้ได้กำไร อย่างน้อยเราก็ต้องขายมันมาในราคา $501
ดังนั้น ระหว่าง $500 กับ $501 ความแตกต่างก็เท่ากับ $1 และนี้ก็คือสิ่งที่เรียกว่าสเปรด
สเปรด(Spread) บอกอะไรเราได้บ้าง ?
ปริมาณส่วนต่างของราคาขาย (Bid) และราคาซื้อ (Ask) นั้น ยังเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่เราสามารถนำมาใช้ตรวจสอบสภาพคล่องของตลาดได้
ตัวอย่าง ตลาดสกุลเงินในภาวะปกตินั้น ส่วนต่างราคาขาย (Bid) และราคาซื้อ (Ask) จะมีไม่มาก คือประมาณ 0.001% เท่านั้น แต่ถ้าหากเราพบเห็นตลาดใด ที่ Spread ส่วนต่างอยู่ที่ 1 หรือ 2% แสดงว่าตลาดนั้นมีสภาพคล้องน้อย
สเปรดมี 2 ประเภท:สเปรดคงที่ VS สเปรดแปรผัน
ประเภทของสเปรด ที่เราจะพบเห็นได้บน Platform ซื้อขายนั้น จะมี 2 ประเภท คือ สเปรดคงที่(Fixed Spread) และ สเปรดแปรผัน(Variable Spread) หรือ สเปรดลอยตัว(Floating Spread) ดังนี้
● สเปรดคงที่(Fixed Spread)
คือสเปรดคงที่ ซึ่งได้ถูกกำหนดค่าเอาไว้ล่วงหน้า และมีค่าคงที่ตลอดเวลาโดยไม่คำนึงถึงสภาวะแวดล้อมของตลาดเลย และโบรกเกอร์เท่านั้นที่จะเป็นผู้ควบคุมราคา และเป็นคนกำหนดค่า สเปรดแบบคงที่ขึ้นมา
√ ข้อดีของการซื้อขายด้วยสเปรดแบบคงที่
คือการที่เราสามารถคำนวณต้นทุนในการทำธุรกิจได้อย่างแม่นยำ เพราะมีการกำหนดค่าเอาไว้อย่างแน่นอน และจะไม่เปลี่ยนแปลง จึงทำให้เราสามารถคาดการณ์ได้อย่างมั่นใจได้ว่าจะต้องจ่ายเท่าไหร่ เมื่อทำการซื้อขายกัน
× ข้อเสียของการซื้อขายด้วยสเปรดแบบคงที่
จะทำให้เกิด Requote ได้บ่อยครั้ง เนื่องจากการกำหนดราคามาจากโบรกเกอร์แต่เพียงผู้เดียว แต่ก็มีในบางครั้งที่ตลาด forex มีความผันผวนมาก จนทำให้โบรกเกอร์ต้องมีมีการเปลี่ยนแปลงการกำหนดค่าของสเปรดอย่างรวดเร็ว ให้สอดคล้องกับสภาวะของตลาดในปัจจุบัน และนี้ก็คือสิ่งที่เรียกว่าการ Requote โดยโบรกเกอร์จะทำการ “ปิดกั้น” ระบบของเรา ไม่ให้มีการซื้อขาย จนกว่าเราจะยอมรับ การกำหนดค่าอันใหม่ของสเปรดนี้ สิ่งนี้เรียกว่าการถูก Requote
โดยข้อความ Requote จะปรากฏบน Platform การเทรดของเรา เพื่อแจ้งให้เราทราบว่า ตอนนี้ราคาได้เคลื่อนไหวไปจากเดิมแล้วอย่างไรบ้าง ซึ่งเราจะกดยอมรับราคาที่มีการปรับปรุงนั้น จึงจะสามารถกลับเข้าสู่การเทรดได้อีกครั้ง (โดยส่วนใหญ่แล้ว เราที่กำหนดขึ้นใหม่มักจะเป็นราคาที่แย่กว่าเดิม)
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างหนึ่ง เพราะเมื่อราคามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่เราไม่ทันตั้งตัว ก็ทำให้แผนการต่าง ๆ ที่เราตั้งใจเอาไว้ เกิดการผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปหมด
● สเปรดแปรผัน(Variable Spread)
สเปรดแปรผัน หมายถึงสเปรดที่มีค่าซึ่งเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยความแตกต่างระหว่างราคาขาย (Bid) และราคาซื้อ (Ask) จะมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยโบรกเกอร์จะส่งต่อราคาเหล่านี้ไปยังผู้ค้าโดยไม่มีการแทรกแซง
ดังนั้น โบรกเกอร์จะไม่ใช่ผู้ควบคุมและกำหนดค่าของสเปรด แต่มันจะมีค่าที่ขึ้นลงอันเป็นไปตามกลไกของอุปสงค์และอุปทานของตลาดสกุลเงิน อันเป็นความผันผวนของตลาดโดยรวม
โดยปกติสเปรด จะมีความเคลื่อนไหวขึ้นลงมาก ๆ ในช่วงที่มีข่าวสำคัญ เช่น การเผยแพร่ NFP และช่วงเวลาอื่น ๆ ที่สภาพคล่องในตลาดลดลง
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องการซื้อ EUR/USD ด้วยสเปรด 2 pip แต่เมื่อเรากำลังจะคลิกซื้อ ทันใดนั้น มีรายงานการว่างงานของสหรัฐฯออกมา ก็ส่งผลให้สเปรด เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น 20 pips! เป็นต้น
√ ข้อดีของการซื้อขายด้วยสเปรด แบบแปรผัน
ก็คือ นักเทรดที่มีความชำนาญและเร็ว จะได้รับประโยชน์จากสเปรด แบบแปรผัน ซึ่งค่าใช้จ่ายนักมักจะถูกกว่าสเปรด แบบคงที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่มีสภาพคล่องสูง
นอกจากนี้ ยังจะไม่เกิดสิ่งที่เรียกกว่าการ Requote เนื่องจากการแปรผันของสเปรด จะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะทางตลาด ซึ่งโบรกเกอร์ไม่ใช่ผู้กำหนด จึงไม่มีการ Requote นั้นเอง
× ข้อเสียของการซื้อขายด้วยสเปรดแบบแปรผัน
คือมันไม่เหมาะสำหรับนักเก็งกำไร เพราะการขึ้นลงจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนยากที่จะเก็งกำไรได้ และไม่เหมาะสำหรับนักเทรดมือใหม่ เพราะค่าสเปรด อาจสูงขึ้นมาก จนทำให้สิ่งที่คิดว่าจะทำกำไรได้ กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ภายในชั่วพริบตา
สเปรดคงที่ VS สเปรดแปรผัน(ลอยตัว): อย่างไหนดีกว่ากัน?
มาถึงตอนนี้ หลาย ๆ คน อาจจะสงสัยแล้วว่า ระหว่าง Spreads แบบแปรผัน กับแบบคงที่ อะไรจะดีกว่ากัน ซึ่งคำตอบที่ดีที่สุด ก็คงจะต้องบอกว่า...เราไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรดีกว่าอะไร เพราะสุดท้ายแล้วมันขึ้นอยู่กับความชำนาญของแต่ละบุคคล ตลอดไปจนถึงกลยุทธ์ในการเทรดของแต่ละบุคคลซึ่งมีความถนัดแตกต่างกันไป ดังนั้น ควรเลือกการเทรดด้วยกลไก สเปรดที่เราถนัด และสอดคล้องกับเทคนิคของเรา
ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว นักเทรดรายย่อยที่ชอบการเทรดแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ จะได้รับประโยชน์จากสเปรด แบบคงที่มากกว่า ส่วนนักเทรดรายใหญ่ ซึ่งทำการซื้อขายบ่อย ๆ เยอะ ๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ตลาดมีความพีค สเปรด แบบแปรผัน จะเอื้อให้นักเทรดรายได้ใหญ่ได้รับประโยชน์มากกว่า
นอจากนี้ นักเทรดที่ต้องการซื้อมาขายไปแบบรวดเร็ว รวมถึงอยากหลีกเลี่ยงการ Requote ก็ควรเทรดด้วยสเปรด แบบแปรผัน เช่นกัน
แต่อย่างไรก็ตาม โบรกเกอร์บางรายอย่าง Mitrade อาจสามารถสลับค่าสเปรดไปมาของ แบบคงที่ หรือ แบบแปรผัน โดยทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระบบการทำงานของสินทรัพย์
ซึ่งแพลตฟอร์มการเทรด Mitrade จะแสดงข้อมูลของสเปรดไว้ที่หน้าข้อมูลของทุกสินทรัพย์ดังนี้
แต่มีกฎข้อหนึ่งที่เราต้องจดจำให้ขึ้นใจ ก็คือ...ยิ่งสเปรดมีลักษณะขึ้นลงแบบเยอะ ๆ มากเท่าไหร่ การทำกำไรก็จะยิ่งยากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น อย่าลืมเลือกโบรกเกอร์ที่มีสเปรด ซึ่งมีลักษณะไม่ขึ้นลงที่ละมาก ๆ และเราควรเลือกซื้อขายคู่สกุลเงินยอดนิยม เช่น EUR/USD และ GBP/USD เนื่องจากจะคู่สกุลเงินยอดนิยมนั้น มักจะมีสเปรด ที่ขึ้นลงน้อยกว่าคู่สกุลเงินที่ไม่ได้รับการนิยมในการซื้อขาย
และทั้งหมดนี้ ก็คือเรื่องราวของ สเปรด(Spread) ซึ่งเป็นค่าความต่างระหว่างราคาขาย (Bid) และราคาซื้อ (Ask) ของสกุลเงิน ซึ่งหากเรามีความเข้าใจอย่างท่องแท้ เราก็จะสามารถทำการเทรดได้อย่างมีแบบแผนและมีประสิทธิภาพ
เพราะการเทรด forex นั้น คือธุรกรรมทางการเงินและการลงทุนรูปแบบหนึ่ง ไม่ใช่การพนัน ดังนั้น ทุกอย่างจึงสามารถวางแผน ออกแบบกลยุทธ์ได้ และคนที่มีความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในระบบการเทรดก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่านั้นเอง
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน