Staking คืออะไร Staking Crypto สร้าง Passive Income ได้จริงหรือไม่
Staking คือ รูปแบบการลงทุนในคริปโตเคอเรนซี่ซึ่งเป็นการลงทุนในระยะยาว ที่สามารถสร้าง Passive Income ให้ผู้ลงทุน เหมาะสมหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนอย่างมั่นคง ใครที่สนใจอยากจะลงทุนใน Cryptocurrency แต่คิดว่าตัวเองไม่มีเวลาที่จะเฝ้าพอร์ตตลอดเวลา การลงทุนด้วยวิธีการ Staking Crypto อาจจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์คุณก็เป็นได้ เนื้อหาการลงทุนในบทความนี้จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับการลงทุนในคริปโตด้วยวิธีการ Staking วิเคราะห์ผลตอบแทนที่คุณจะได้รับ พร้อมแนะนำ 5 เหรียญคริปโต ที่เหมาะสำหรับการ Stake หากคุณไม่อยากพลาดเกร็ดความรู้ดีๆ เกี่ยวกับการสร้าง Passive Income จากการ Staking ติดตามรายละเอียดได้ที่บทความนี้เลย
Staking คืออะไร
Staking คือ การที่ผู้ใช้งานนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาทำการฝากหรือล็อคไว้ คล้ายกันกับวิธีการนำเงินสดไปฝากประจำกับธนาคารนั่นเอง เพียงแต่ว่าในโลกของ Cryptocurrency จะเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนทุกคนนำสินทรัพย์มาค้ำประกันไว้ด้วยวิธีการ Proof-of-Stake (PoS) ซึ่งเป็นระบบฉันทามติอยู่บนเครือข่ายบล็อคเชน
จากสถานการ์ณจำนวนเครือข่ายแบบ PoS มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดหนทางใหม่ๆ สำหรับ Staking ที่เพิ่มมากขึ้น อย่างการเปิดตัวของ Group Staking เช่น Stake Providers, Cold Staking และ Stake Pool ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการ Staking ให้กับนักลงทุนรายย่อยที่มีโทเค็นจำนวนน้อย
ในส่วนของรูปแบบผลตอบแทนจากการ Staking มาในรูปแบบของดอกเบี้ยที่จ่ายให้กับผู้ถือ โดยอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับก็จะแตกต่างกันไปตามเครือข่าย ซึ่งจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์และอุปทาน
Proof of Stake Validation
Proof of Stake (Pos) คือ อัลกอริธึมที่นิยมใช้สร้าง Consensus บนบล็อกเชน โดยจะเป็นการวางสินทรัพย์ค้ำประกันหรือ Stake เหรียญไว้ในระบบ เพื่อแลกกับสิทธิ์ในการตรวจสอบและยืนยันธุรกรรม
สำหรับระบบฉันทามติแบบ PoS ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาของ Proof of Work คือ การใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาลไปกับการขุด ซึ่งแน่นอนว่าระบบฉันทามติแบบ Pos จะประหยัดพลังงานมากกว่าและได้รับความนิยมมากกว่าด้วยเช่นกัน
กลไกการทำงานของ Proof of Stake (Pos) จะเป็นกลไกที่ทำการสุ่มเลือกผู้ตรวจสอบ (Pseudo-random Election) ระบบจะสุ่มมอบสิทธิ์ในการยืนยันธุรกรรมให้ผู้ใช้เพียงคนเดียวต่อหนึ่งบล็อกเท่านั้น
ผู้ตรวจสอบ (Validator) จะมีหน้าที่หลอม (Forge) หรือ สร้าง (Mint) บล็อกใหม่บนบล็อกเชน คล้ายกับการขุด (Mining) ของ Proof of Work และรับผลตอบแทนเป็นเหรียญหรือค่าธรรมเนียจากการทำธุรกรรมบนบล็อกนั้น
ทั้งนี้หากระบบตรวจพบการปลอมแปลงข้อมูลธุรกรรม ผู้ตรวจสอบรายนั้นจะสูญเสียเงินที่ตนได้ค้ำประกันไว้เป็นบทลงโทษ และต้องผ่านกระบวนการสุ่มเลือกเพื่อตรวจสอบใหม่อีกครั้ง
สำหรับการเลือกผู้ตรวจสอบสำหรับการสร้างบล็อก ค่อนข้างที่จะละเอียดมากและเลือกจากปัจจัยหลักสำคัญ เช่น ปริมาณเหรียญที่ถูกวางค้ำประกันไว้ หรือบางเครือข่ายก็จะทำการพิจาณาผู้ตรวจสอบที่มีประวัติการทำงานที่ดีอีกด้วย
Staking ทำงานอย่างไร
สำหรับกระบวนการทำงานของ Staking จะทำการเริ่มต้นจากการซื้อโทเค็นจำนวนหนึ่งในเครือข่าย โดยมีจุดสำคัญที่สุดก็คือ Staking จะสามารถทำงานได้บนระบบเครือข่ายที่รองรับระบบฉันทามติแบบ Proof of Stake (Pos) เนื่องจากเป็นตามเงื่อนไขของการสร้างระบบ Staking ขึ้นมานั่นเอง
หลังจากที่ทำการซื้อโทเค็นสำเร็จแล้วนั้น ผู้ใช้งานจะต้องทำการล็อคเหรียญตามขั้นตอนของระบบเครือข่ายได้ระบุไว้ อาจจะเป็นระยะเวลา 30 วัน 60 วัน หรือ 90 วัน จึงจะสามารถทำการถอนเหรียญและดอกเบี้ยตามที่กำหนดไว้นั่นเอง ทั้งนี้ยิ่งเราทำการล็อคเหรียญไว้นานเท่าไหร่ โอกาสที่จะได้รับ Annual Percentage Yield (APY) ก็จะยิ่งมากขึ้นนั้นเอง
หลายคนก็อาจจะเกิดข้อสงสัยว่าหลังจากการที่ผู้ใช้งานนำสินทรัพย์ไปทำการ Stake แล้วนั้น สินทรัพย์ของเราจะไปอยู่ที่ไหนและถูกดำเนินการอย่างไรต่อ คำตอบก็คือ ภายหลังจากการที่ผู้ใช้งานนำสินทรัพย์ไปทำการ Stake เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น ผู้ตรวจสอบก็จะทำการนำสินทรัพย์ดังกล่าวไปทำการสร้างบล็อคใหม่ขึ้นมาบนเครือข่ายบล็อคเชน โดยเหรียญที่ถูกทำการ Stake ไว้นั้น จะถูกนำมาใช้ในการตรวจสอบธุรกรรมบนระบบฉันทามติ PoS ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั่นเอง
ข้อดีของการ Staking
ขึ้นชื่อว่าเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล แน่นอนว่ามีความเสี่ยงสูงอยู่แล้ว หลายคนก็อาจจะเกิดความสงสัยและไม่กล้าที่จะลงทุนในรูปแบบของการ Staking Crypto ทางผู้เขียนจึงได้ทำการยกข้อดีของลงทุนแบบ Staking มาให้ทุกคนได้พิจารณากัน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
การ Staking สามารถสร้าง Passive Income ให้กับผุ้ลงทุนได้อย่างแท้จริง
การลงทุนแบบ Staking Crypto เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่เริ่มต้นลงทุน เพราะสามารถลงทุนได้ง่ายแบบไม่ต้องผ่านนายหน้า เพียงแค่ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยน หรือ ทำการ stake ผ่าน Pool ต่างๆตามที่เราสะดวก
เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ได้ผลตอบแทนที่มั่นคงมากกว่าการเทรด
เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบที่สูงมากกว่าการฝากประจำในธนาคาร
ความเสี่ยงของการ Staking
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าทุกการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ โดยเฉพาะการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูงมากเนื่องจากว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงนั่นเอง การเลือกลงทุนในคริปโตเคอเรนซี่ในรูปแบบของ Staking แม้ว่าจะเป็นการลงทุนที่มีเสี่ยงต่ำแต่เราก็ควรศึกษาให้ดีก่อนที่จะทำการลงทุนเช่นกัน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
มูลค่าของเหรียญมีผลทางตรงกับมูลค่าโดยรวมของผลกำไรหรือดอกเบี้ยที่เราจะได้มาจากการ Stake เนื่องจากว่านักลงทุนจะได้ผลตอบแทนเป็นสกุลเงินเดียวกันกับสกุลเงินที่ตนเองได้ทำการ Stake ไว้นั่นเอง ดังนั้นจะทำการศึกษาและติดตามตลาดเกี่ยวกับราคาเหรียญที่ตนเองเลือกที่จะฝากไว้เสมอ
ทำให้เสียโอกาสที่จะนำเหรียญไปต่อยอดไปลงทุนในช่องทางอื่น เนื่องจากว่าเหรีญที่ทำการ Stake ไว้แล้วนั้นจะไม่สามารถทำการถอนได้หากยังไม่ถึงกำหนด
ผลตอบแทนที่ได้รับไม่คงที่ ข้อนี้เป็นความเสี่ยงที่นักลงทุนจะต้องทำความเข้าใจก่อนที่จะเลือกตัดสินใจ Stake เพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักๆ ได้แก่ ความแออัดอยู่บนบล็อคเชน ส่วนแบ่งบล็อคเชน ณ เวลานั้นๆไม่คงที่ ส่งผลให้ตัวเลข APR และ APY เกิดการแปรผันได้ตลอดเวลา
Staking เหรียญคริปโตฯทำยังไง
สำหรับนักลงทุนมือใหม่หรือใครที่มีความสนใจที่อยากจะลงทุนในรูปแบบของการ Staking แต่ไม่รู้ว่าวิธีการ Staking Crypto ต้องทำอย่างไร มันจะวุ่นวายอย่างที่คิดไหม จะต้องใช้เวลานานหรือเปล่ากว่าจะทำการ Stake สำเร็จ คำตอบคือ ไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิดเลย คุณเองก็สามารถได้ทำง่ายๆ เพียงแค่มี Crypto Wallet เป็นของตัวเอง ด้วยขั้นดังต่อไปนี้
เลือกซื้อเหรียญที่ต้องการ Stake
ขั้นตอนแรกสำคัญมากนักลงทุนจะต้องทำการเลือกซื้อเหรียญที่มีพื้นฐานระบบโปรโตคอลเป็น Native Token ประเภท PoS มาเก็บไว้ในกระเป๋าส่วนตัวของตัวเอง เช่น Metamask หรือ Binance เป็นต้น
ทำการผูก Crypto Wallet กับ Blockchain
ขั้นตอนนี้ก็ถือว่าสำคัญมากๆ นักลงทุนจะต้องทำการผูกกระเป๋าของตัวเองไว้กับระบบสัญญาอัจฉริยะ Smart Contract บนโปรโตคอลของเหรียญที่เราต้องการจะทำการ Stake ซึ่งเราสามารถทำทำการเชื่อมต่อผ่านหน้าเว็ปไซต์หลักของเหรียญดังกล่าวได้ทันที
ทำการเลือก Node Validator และ Lock เหรียญ
ขั้นตอนนี้ก็จะขึ้นอยู่ฟีเตอร์ของเว็บไซต์หรือผู้ให้บริการที่เราเลือกใช้งาน เพราะเราสามารถเลือกได้ว่าจะทำการโอนเหรียญเข้าไปฝากไว้บนบล็อคเชนได้อย่างโดยตรงเลย หรือเราจะทำการเลือก Node Validator แต่จะต้องทำการศึกษารายละเอียดด้วยว่าโหนดที่เราเลือกนั้น มีการออนไลน์ตลอดเวลาไหม มีการหักค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมหรือไม่อย่างไร เป็นต้น]
รอรับส่วนแบ่งค่าธรรมเนียม
ในข้อนี้จะเป็นขั้นตอนสุดท้าย เพราะหลังจากที่เราทำการเลือก Vaditor ได้แล้วนั้น ระบบสัญญาอัจฉริยะจะทำการขออนุญาตให้เราทำการโอนเหรียญไปล็อคไว้ หลังจากนั้นเราก็รอรับส่วนแบ่งของค่าธรรมเนียมจากการพิสูจน์ธุรกรรม เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนเข้ามาทำธุรกรรมบนบล็อคเชน เราก็จะได้ส่วนแบ่งจากค่าธรรมเนียมมาในฐานะเป็นผู้ร่วมตรวจสอบบัญชี ในส่วนผลตอบแทนที่ได้ก็จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขระยะเวลาที่เราเลือกไว้ว่าจะล็อคกี่วัน ส่วนมากจะนิยมฝากขั้นต่ำเป็นเวลา 30 วัน ถึงจะได้ผลตอบแทนตามระยะเวลาที่กำหนดและสามารถถอนเหรียญออกมาได้นั่นเอง
Stake เหรียญคริปโตเพื่อสร้างรายได้ได้เท่าไหร่?
หากถามถึงผลตอบแทนที่จะได้จากการทำ Staking Crypto ไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ว่าคุณจะได้เงินจากการลงทุนครั้งนี้เป็นจำนวนเท่าไหร่ เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยมาก ก่อนอื่นเลยก็ต้องพิจาณาดูว่า เหรียญที่เราทำการมีมูลค่าอยู่ที่เท่าไหร่ เป็นที่นิยมในตลาดมากน้อยแค่ไหน เพราะผลตอบแทนที่จาก Stake ก็ขึ้นอยู่กับมูลค่าของเหรียญต่างๆด้วยเช่น ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เราวางเหรียญ Stakeไว้ใน Pool ยิ่งทำการล็อคนานเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสได้ผลตอบแทนเพิ่มสูงขึ้นมากเท่านั้น ทั้งนี้ก็ยังขึ้นอยู่กับปริมาณของเหรียญที่เราทำการฝากไว้ด้วยเช่นกัน
5 เหรียญคริปโตฯ ที่เหมาะสำหรับการ Stake ในปี 2024
ในช่วงการลงทุนในตลาดคริปโตเตอเรนซี่ถูกกลับมาพูดถึงกันอีกครั้ง เรามาดูกันดีกว่าสกุลเงินดิจิทัลเหรียญไหนบ้างที่เหมาะสำหรับการ Staking Crypto ในปี 2024 วันนี้ทางผู้เขียนได้ยกตัวอย่างมา 5 เหรียญพื้นฐานดีและได้รับความนิยมสูงสุดในตลาด ได้แก่
1. Bitcoin (BTC)
บิทคอยน์ เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดและมีมูลค่าสูงสุดในตลาดคริปโตเคอเรนซี่ ในเรื่องของพื้นฐานเหรียญความปลอดภัยของเหรียญสามารถวางใจได้เลย ทั้งนี้ถึงแม้ว่าตัว “บิทคอยน์” เป็นสกุลเงินที่ไม่ได้มีการสร้างขึ้นมาเพื่อระบบโปรโตคอล PoS โดยตรงก็ตาม แต่ในปัจจุบันนี้เรามีแพลตฟอร์มที่ให้บริการทางด้าน Stake รองรับบิทคอยน์ สามรถทำให้นักลงทุนทำการล็อคบิทคอยน์เพื่อรับผลตอบแทนได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด
สำหรับ “Bitcoin” ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเหรียญที่ควรค่าแก่การ Stake เพื่อรับผลตอบแทนในระยะยาว
2. Ethereum (ETH)
Ethereum คือ สกุลเงินดิจิทัลประเภทหนึ่งที่มูลค่าสูงเป็นอันดับ 2 ของตลาด และเป็นเหรียญพื้นฐานดี มีเครือข่ายบล็อคเชนเป็นของตัวเองที่ได้รับความนิยมมาอย่างแพร่หลาย ทั้งนี้เครือข่ายบล็อคเชน ETH ได้มีการอัปเดตระบบเป็น ETH2.0 ตอกย้ำความเชื่อมั่นให้ผู้ใช้งานเป็นอย่างมากในเรื่องความปลอดภัยและความเสถียรภาพในการเข้าใช้งาน
สำหรับเหรียญ ETH ผู้ใช้งานทำการ Stake ได้ทันทีเนื่องจากว่าทางแพลตฟอร์มมีระบบนิเวศน์ Decentralized applications (dApps) ที่ใหญ่ที่สุดในวงการคริปโต รวมทั้งส่งผลต่อตลาดแลกเปลี่ยนแบบไร้ศูนย์กลาง (DeFi) เป็นอย่างมาก Ethereum จึงเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่นักลงทุนนิยมถือครองและทำ Stake ในปีนี้
3. Solona ( SOL)
อาจจะเป็นอีกหนึ่งเหรียญที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก แต่เป็นเหรียญที่เราอยากจะแนะนำให้นักลงทุนทุกคนทำการ Stake นั่นก็คือ Solona แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาอาจจะมีกระแสดราม่าเกี่ยวกับการโดนแฮกข้อมูลแต่ทางทีมงานก็ได้ออก มาแก้ไขปัญหาดังกล่าวผ่านไปได้ด้วยดี สำหรับ SOL เป็นเครือข่ายที่ทำการผูกสัญญาอัจฉริยะ Smart Contract และมีจุดเด่นที่น่าสนใจ นั่นก็คือ การทำงานของ Solana มีการใช้ระบบฉันทามติที่มีการผสมผสานระบบบันทึกเวลา (timestamping system) หรือที่เรียกว่า Proof-of-History (PoH) และระบบ Proof-of-stake (PoS) เข้าด้วยกัน ทำให้มีเวลาการอนุมัติธุรกรรมที่รวดเร็วกว่าเครือข่าย Blockchain อื่นๆ และสามารถอนุมัติธุรกรรมได้ถึง 50,000 ธุรกรรมต่อวินาทีและมีค่าธรรมเนียมที่ถูกนั่นเอง
4. Polkadot (DOT)
สำหรับเหรียญ Polkadot ยังถือว่าเป็นอีกหนึ่งเหรียญที่ค่อนข้างมีความน่าสนใจและเหมาะแก่การ Stake ในช่วงเวลานี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากว่าเป็นเครือข่ายบล็อกเชนที่ใช้โปรโตคอลแบบ PoS ตรงตามวัตถุประสงค์ของการ Stake Crypto อย่างแท้จริง
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเมื่อช่วงปลายปี 2021 ที่ผ่านมาทาง Polkadot ได้มีการอัปเดตระบบเครือข่ายใหม่และมีการใช้งานของ PoS หลากหลาย เรียกว่า Nominated Proof-of-Stake (NPoS system) โดย Nominator สนับสนุนผู้ตรวจสอบได้ด้วยการ Stake เหรียญ เพื่อแสดงความเชื่อใจต่อการทำงานที่ดี นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม DOT ถึงเป็นอีกหนึ่งเหรียญที่คุ้มค่าที่จะทำ Staking ในปี 2023 อย่างแน่นอน
5. Chainlink (LINK)
Chainlink เป็นอีกหนึ่งโทเค็นที่เน้นจูงใจให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกป้อนข้อมูลแบบ Real-world data ให้กับ Smart contract ที่ทำงานบนเครือข่ายบล็อกเชน โดยที่แพลตฟอร์ม LINK ได้มีการพัฒนาขึ้นมาบนระบบกลไก Consensus แบบ PoS ซึ่งทำให้โหนดดังกล่าวจะสร้างความปลอดภัยให้กับเครือข่ายด้วยการ Stake เหรียญสำหรับตรวจสอบธุรกรรม ดังนั้นหากใครมองเหรียญที่ราคาแบบไม่แรงมาก สามารถเข้าถึงการลงทุนได้ การเลือก Stake Link ก็ว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีที่น่าสนใจในการลงทุนในปีนี้เช่นกัน
ฝึกเทรดคริปโตที่ยอดนิยมด้วยเงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์แบบไม่มีความเสี่ยงใดๆ 👇️👇️👇️
แพลตฟอร์มสำหรับการ Stake เหรียญคริปโตฯ
แนะนำ 3 แพลตฟอร์มสำหรับการ Stake เหรียญคริปโตเคอเรนซี่ ในปี 2024 ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแพลตฟอร์มที่โดดเด่นในเรื่องของความปลอดภัย ความเสถียรภาพในการเข้าใช้งาน และเป็นที่ยอมรับจากนักลงทุนที่การ Stake มาก่อนหน้านี้แล้ว
1. AiDoge
สำหรับแพลตฟอร์ม AiDoge เป้นแพลตฟอร์มที่ให้บริการทางด้านการ Stake ที่แตกต่างจากระบบอื่นๆ เนื่องจากว่าเป็นแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนระบบโปรโตคอล แบบ AI ที่ทำการเสนอค่าตอบแทนเป็นรายวันในการทำการ Staking ซึ่งแตกต่างแพลตฟอร์มอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด
(ที่มาของรูปภาพ insidebitcoins.com)
2. eToro
eToro เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มของการ Stake ที่มีค่าธรรมเนียมค่อนข้างที่จะถูกมาก และเป็นเป็นโบรกเกอร์ผู้ให้บริการทางด้านการล็อคเหรียญได้รับการควบคุมมาจาก ก.ล.ต. นักลงทุนสามารถในเรื่องของความปลอดภัยได้เลยว่าไม่มีการโดนโกงอย่างแน่นอน นอกจากนี้แพลตฟอร์ม eToro ยังเอื้อประโยชน์มากมากมายให้สำหรับนักลงทุนอีกด้วย ในเรื่องของการไม่มีระยะเวลาในการทำล็อคเหรียญแต่อย่างใด แต่คุณยังสามารถได้รับผลตอบแทนจากการ Stake ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้อีกด้วย เรียกได้ว่าคุ้มค่าและตอบโจทย์นักลงทุนหลายคนเป็นอย่างมาก
(ที่มาของรูปภาพ etoro.com)
3. Gemini
สำหรับ Gemini ถือว่าเป็นกระดานเทรดคริปโตฯ ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 2015 โดยได้รับการพัฒนาให้เป็นแพลตฟอร์มสำหรับเทรดคริปโตเคอเรนซี่โดยเฉพาะ ซึ่งได้รับความสนใจจากทั้งนักลงทุนมือใหม่และนักเทรดขาประจำเป็นอย่างมาก จุดเด่นคือ มีตัวเลือกหลากหลาย ทั้งการซื้อขายแลกเปลี่ยน และ Staking อีกทั้งมีระบบความปลอดภัยระดับสูงสุด พร้อมด้วยเครื่องมือสำหรับการเทรดขั้นสูงอีกมากมายที่น่าสนใจ
(ที่มาของรูปภาพ zipmex.com)
การเลือกลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลด้วยรูปแบบการ Stake ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีที่ดีที่เหมาะสมแก่การลงทุนในระยะยาวและสามารถสร้าง Passive Income ให้กับนักลงทุนทุกท่านได้อย่างแท้จริง แม้ว่าอาจจะมีข้อควรระวังและความเสี่ยงบางประการที่จะต้องหลีกเลี่ยง แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลทุกคนต่างทราบดีว่าการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้มีความเสี่ยงจากการผันผวนของราคาตลาดเป็นอย่างมาก บางครั้งทำให้นักลงทุนอาาจะได้ผลตอบไม่คงที่หรือไม่เป็นไปตามเป้าหมาย หากใครที่สนใจอยากลงทุนในรูปแบบของการเก็งกำไรในระยะสั้นและเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ตลาดมากพอ คุณก็สามารถเลือกลงทุนในรูปแบบของดทรดสินทรัพย์แบบ CFD กับโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถืออย่างเช่นโบรกเกอร์ Mitrade เป็นต้น
คุณควรทำการ Stake เหรียญคริปโตฯ หรือไม่
ก่อนที่จะทำการลงทุนอะไร สิ่งแรกที่นักลงทุนจะต้องพิจาณาก็คือจะต้องประเมิณตัวเองก่อนว่าเราเหมาะแก่การลงทุนในรูปแบบของการ Stake Crypto หรือไม่ เพราะการทำ Stake ก็เปรียบเสมือนกับการ Trade off มีเรื่องที่ได้และมีโอกาสที่จะต้องเสียไป อธิบายให้เห็นภาพได้ง่ายๆ คือ
การทำ Staking เปรียบเสมือนเป็นการต่อยอดสินทรัพย์ในรูปแบบหนึ่ง สำหรับบุคลลที่ต้องสร้าง Passive Income และมีความต้องการที่จะลงทุนในระยะยาวโดยไม่เดือดร้อนเรื่องเงินและไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินในส่วนนี้แต่อย่างใด
ในทางตรงกันข้ามหากสภาวะตลาดตอนนั้นเป็นช่วงขาขึ้น มูลค่าของเหรียญที่คุณทำการล็อคไว้อยู่นั้นมีมูลค่าที่สูงเหมาะแก่การเก็งกำไร การเทรดแบบ CFD ตัวเราก็อาจจะเสียโอกาสจากการทำไรหรือสร้างลงทุนในตรงนี้ เนื่องจากว่าเหรียญที่เราทำการล็อคไว้นั้นไม่สามารถถอนก่อนกำหนดได้
อย่างไรก็ตามการ Stake ก็ถือว่าเป็นการเปิโอกาสให้นักลงทุนทุกคนสามารถกระจายความเสี่ยงของตนเองและสร้างรายได้ในระยะยาวให้กับตัวเองได้อย่างเหมาะสม
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน