NFT คืออะไร จะกลายมาเป็นกระแสร้อนแรงต่อจากบิทคอยน์หรือไม่
ค่อนข้างเป็นประเด็นที่ใหม่แต่มาแรงสุด ๆ กับ NFT ที่เป็นช่องทางลงทุนและสร้างรายได้สำหรับผู้ใช้เหรียญคริปโตในแบบที่ไม่ว่าใครก็ต่างพูดถึง บ้างก็ว่าเจ้าสิ่งนี้กำลังกลายเป็นบับเบิลคลายทิวลิปบับเบิลเมื่อปี 1600-1700 บ้างก็ว่าเจ้าสิ่งนี้จะไม่เพียงคงอยู่และดำเนินต่อไป แต่ยังจะเปลี่ยนโฉมหน้าของหลาย ๆ วงการอีกด้วย
ซึ่งสำหรับใครที่ยังงงอยู่ว่าเจ้า NFT นี้คืออะไร ทำไมถึงมีคนพูดถึงหนาหูกันขนาดนี้ และ NFT จะกลายเป็นกระแสร้อนแรงต่อจากสกุลเงินดิจิทัลอย่างบิทคอยน์ได้หรือไม่ คราวนี้เราจะพาไปห าคำตอบกัน
NFT คืออะไร?
NFT เป็นเหรียญที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนและมีการเข้ารหัสเหมือนกับเหรียญคริปโต (Cryptocurrency) แต่ NFT ไม่ได้ถูกจัดอยู่ในประเภทสกุลเงินดิจิทัล เพราะมีคุณสมบัติเฉพาะที่แตกต่างออกไป
NFT หรือ Non-Fungible Token มีความหมายแบบตรงตัวว่า เหรียญโทเค็นที่ไม่สามารถทดแทนได้ ซึ่งสาเหตุที่ได้ชื่อแบบนี้นั่นก็เพราะว่าเหรียญ NFT แต่ละเหรียญนั้นมีความเฉพาะตัวและเราจะไม่สามารถนำเหรียญหนึ่งมาเทียบกับอีกเหรียญหนึ่ง คล้ายๆ กับที่เราไม่สามารถนำภาพศิลปะภาพหนึ่งมาเทียบกับอีกภาพหนึ่งได้
คุณสมบัตินี้ทำให้ NFT แตกต่างจากเหรียญคริปโตอื่น ๆ ที่ทุกเหรียญมีความเหมือนกัน มีมูลค่าเท่ากัน และสามารถใช้ชำระราคาได้เหมือน ๆ กันไม่ว่าจะรันด้วยหมายเลขใดก็ตาม และด้วยความเฉพาะตัวนี้เองทำให้ NFT มาพร้อมกับความหาได้ยาก และมีราคา
เราสามารถจำแนกคุณลักษณะของ NFT ออกได้เป็น 4 ข้อ ได้แก่
เป็นสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset)
เหรียญ NFT จะไม่เป็นรูปวาดบนกระดาษหรือวัสดุทางกายภาพ แต่จะต้องแปลงเป็นไฟล์ดิจิทัลที่สามารถนำมาเข้ารหัสและเก็บข้อมูลบนบล็อกเชนได้ เช่น ไฟล์ภาพ ไฟล์เอกสาร ไฟล์เสียง ฯลฯ
รนบนบล็อกเชน (Blockchain)
NFT จะถูกสร้างขึ้นบนบล็อกเชนหนึ่ง ๆ และไม่สามารถนำไปใช้ในระบบของบล็อกเชนอื่นได้ และจะถูกตรวจสอบและโอนย้ายบนระบบของบล็อกเชนนั้น ๆ เช่น NFT ที่สร้างขึ้นบน Ethereum จะไม่สามารถนำไปใช้บนบล็อกเชน Bitcoin ได้
มีความเฉพาะตัวที่ทดแทนไม่ได้ (Fungible)
เหรียญ NFT แต่ละเหรียญจะมีความเฉพาะตัวและไม่สามารถทดแทนได้ด้วย NFT เหรียญอื่น จนแทบจะเรียกได้ว่า NFT เหรียญหนึ่ง ๆ จะมีเพียงหนึ่งเดียวในโลก และคนที่ได้ครอบครองเหรียญนั้นก็จะเป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลกนั่นเอง
ไม่สามารถแบ่งเป็นหน่วยย่อยได้ (Non Divisible)
การแบ่งเหรียญ NFT ออกเป็นหน่วยย่อยนั้นทำไม่ได้ เพราะจะทำให้คุณสมบัติของเหรียญเปลี่ยนไป ซึ่งตรงนี้เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้ NFT แตกต่างจากสกุลเงินดิจิทัลที่สามารถแบ่งเป็นหน่วยทศนิยมได้หลายตำแหน่งโดยที่ยังมีมูลค่าเท่า ๆ กันได้
ความแตกต่างระหว่าง NFT และสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ
หากคุณใช้เงินในบัญชีธนาคารของคุณเพื่อซื้อสินค้าและบริการในโลกแห่งความเป็นจริง ในทำนองเดียวกัน คุณก็ใช้สกุลเงินดิจิทัลสำหรับการทำธุรกรรมในเครือข่ายบล็อกเชน สกุลเงินดิจิทัลสามารถซื้อหรือแปลงเป็นสกุลเงินจริงอย่างเช่น ดอลลาร์ ยูโร เยน หรือแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ เช่น BTC, ETH, SOL ผ่านการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลได้
ในทางตรงกันข้าม NFT เป็นสินทรัพย์ที่มีเอกลักษณ์และไม่สามารถทดแทนกันได้ซึ่งสามารถซื้อได้โดยใช้สกุลเงินดิจิทัล ยิ่งไปกว่านั้น NFT สามารถได้รับหรือสูญเสียมูลค่าโดยไม่ขึ้นกับสกุลเงินที่ใช้ในการซื้อ เช่นเดียวกับการ์ดสะสมยอดนิยมหรืองานศิลปะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว กล่าวโดยสรุปก็คือ NFT นั้นไม่สามารถทดแทนได้ (non-fungible) แต่สกุลเงินดิจิทัลนั้นสามารถทดแทนได้ (fungible)
ตัวอย่างความแตกต่างระหว่าง NFT และสกุลเงินดิจิทัลที่จะช่วยให้คุณเข้าใจความหมายนี้มากขึ้นก็คือ หากเราขอยืมเงินจากคุณ 100 บาท คุณจะไม่เปิดกระเป๋าสตางค์ของคุณแล้วถามว่าต้องการแบงค์ร้อยใบไหน เพราะแบงค์ร้อยทุกใบก็มีค่าเหมือนกันและสามารถนำไปแลกเปลี่ยนแบงค์ร้อยใบไหนก็ได้ที่ต้องการ เหตุผลที่สามารถทำเช่นนี้ได้ก็เพราะสกุลเงินบาทสามารถทดแทนได้ เช่นเดียวกับสกุลเงินคริปโตอื่น ๆ ที่สามารถทดแทนและแลกเปลี่ยนได้
ในทางตรงกันข้าม NFT นั้นไม่สามารถทดแทนกันได้ และ NFT แต่ละอันก็ไม่เหมือนกันที่ไม่สามารถทดแทนด้วยเวอร์ชั่นไหนได้ จึงจัดเป็นสินค้าที่หายากและมีความเป็นเอกลักษณ์ซึ่งอาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าด้วยความหายากนี้จึงดึงดูดใจนักสะสมและเจ้าของผลงานอาจสามารถขาย NFT ในราคาสูงได้
จะสร้าง NFT ได้อย่างไร?
การสร้าง NFT สามารถทำได้บนตลาด NFT หรือศูนย์แลกเปลี่ยนคริปโตที่รองรับการสร้าง NFT คุณสามารถทำตามขั้นตอนการสร้าง NFT ได้ดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 1: ค้นหาสิ่งที่คุณต้องการสร้าง
โดยทั่วไปแล้ว NFT จะเป็นสินทรัพย์ที่เกี่ยวกับงานศิลปะดิจิทัล เช่น รูปภาพ เพลงหรือแม้แต่คลิปวิดีโอสั้น ๆ เป้าหมายของงาน NFT คือการสร้างสื่อดิจิทัลที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สามารถขายได้ เช่นเดียวกับการขายภาพวาดในหอศิลป์ สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลงานที่คุณสร้างไม่ได้มีการคัดลอกหรือดัดแปลงจากที่ใดและต้องเป็นลิขสิทธิ์ของคุณเองเท่านั้น
ขั้นตอนที่ 2: เลือกบล็อคเชน
มีบล็อคเชนหลายอันที่สามารถจัดเก็บ NFT ของคุณได้ บล็อกเชนนี้จะเก็บบันทึก NFT ของคุณไว้อย่างถาวร ดังนั้นการเลือกบล็อคเชนที่เหมาะกับความต้องการของคุณจึงเป็นสิ่งสำคัญ ตัวอย่างบล็อคเชนสำหรับการจัดเก็บ NFT เช่น อีเธอเรียม โซลานา และ Flow นอกจากนี้ยังมีบล็อกเชนอื่น ๆ อีกหลายเครือข่ายที่รองรับ NFT โดยแต่ละบล็อกมีชุมชนของตัวเองและแอปกระจายอำนาจ (dApps) สำหรับผู้สร้างและเจ้าของ NFT โดยเฉพาะ
ขั้นตอนที่ 3: ตั้งค่ากระเป๋าเงิน NFT
เมื่อคุณเลือกบล็อคเชนแล้ว คุณจะต้องมีกระเป๋าเงินดิจิทัลที่รองรับบล็อคเชนนั้นเพื่อจัดเก็บ NFT ของคุณ ในการสร้างกระเป๋าสตางค์ คุณจะต้องดาวน์โหลดแอปกระเป๋าสตางค์คริปโตโดยระบุชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน และจัดเก็บคีย์ส่วนตัวและวลีสำหรับกู้คืนรหัสของคุณ ตัวอย่างแอปกระเป๋าสตางค์ยอดนิยมหลายตัวที่รองรับบล็อคเชนเช่น MetaMask, Coinbase Wallet, Ledger Nano X
ขั้นตอนที่ 4: เลือกแพลตฟอร์ม NFT
ในตอนนี้มีแพลตฟอร์ม NFT ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่ช่วยให้คุณสร้าง NFT ได้ สำหรับแพลตฟอร์มที่ดีที่สุดจะมีตลาดบริการเต็มรูปแบบเพื่อลงงานและขาย NFT ตัวอย่างแพลตฟอร์ม NFT ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
OpenSea: แพลตฟอร์ม NFT ที่ใช้อีเธอเรียมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดด้วยปริมาณการซื้อขายมากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2017 และมีคอลเลกชัน NFT มากกว่า 2 ล้านรายการ อีกทั้งยังได้กลายเป็นแพลตฟอร์มชั้นนำสำหรับ NFT
ศูนย์แลกเปลี่ยนคริปโต: คุณสามารถสร้าง NFT ของคุณได้โดยตรงบนแพลตฟอร์ม Binance โดยการเลือกบล็อกเชนที่คุณต้องการ และสร้าง NFT ได้โดยตรง
ขั้นตอนที่ 5: สร้าง NFT
ส่วนนี้ผู้สร้างผลงานจำเป็นต้องแปลงไฟล์ผลงานดิจิทัลให้กลายเป็น NFT โดยจะต้องเตรียมกระเป๋าเงินดิจิทัล, เหรียญ Ethereum สำหรับเป็นค่าแก๊ส, และบัญชีผู้ใช้ใน Marketplace และมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. สร้างบัญชีผู้ใช้บน Marketplace ที่ต้องการเลือกใช้ กรณีนี้สมมติเป็นการใช้ opensea.io ที่เป็น Marketplace ที่ได้รับความนิยมและมีสภาพคล่องสูงในปัจจุบัน
2. สร้างบัญชีกระเป๋าเงินดิจิทัล ที่ Marketplace รองรับการใช้งาน เช่น Metamask และทำการเชื่อมต่อบัญชี Marketplace เข้ากับกระเป๋าเงินดิจิทัล ซึ่งกระเป๋าเงินดิจิทัลนี้เองที่จะเป็นที่พักเหรียญหลังจากที่ขายผลงานได้แล้ว และเป็นที่หักเงินสำหรับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ บน Marketplace
3. เตรียมเหรียญ Ethereum สำหรับเป็นค่าแก๊ส โดยทำการซื้อเหรียญบน Cryptocurrency Exchange เช่น Bitkub, Binance, Satang Pro ฯลฯ มาเก็บไว้ จากนั้นโอนเหรียญ Ethereum ที่เตรียมไว้เข้ากระเป๋าเงินดิจิทัล Metamask ที่เชื่อมต่อกับบัญชี Marketplace
4. อัปโหลดไฟล์งานให้เป็น NFT เตรียมไฟล์ผลงานที่เป็นไฟล์ดิจิทัลให้เรียบร้อย จากนั้นกลับไปที่บัญชีบน opensea.io ให้เลือกเมนู Create Your Collection ใน opensea.io เป็นการตั้งค่าและคำอธิบายสำหรับชุดผลงานที่จะลงขาย, เลือกต่อด้วย Add Your NFTs ซึ่งจะเป็นการอัปโหลดผลงานเพื่อสร้างเป็น NFT บนเครือข่าย ซึ่งในขั้นตอนนี้จำเป็นต้องใช้ค่าแก๊สที่เป็น Ethereum ที่เราเตรียมไว้, สุดท้ายเลือก List Them for Sale เป็นการตั้งเงื่อนไขการวางขาย เช่น ตั้งราคาขายทันที การตั้งเงื่อนไขประมูล เงื่อนไขระยะเวลาการประมูล ฯลฯ ซึ่ง opensea.io จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่ม 2.5% ของราคาขายในกรณีที่ NFT ยืนยันการขายสำเร็จ
อย่างไรก็ดี ในการสร้าง NFT สิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงและต้องคำนึงถึงไว้เสมอก็คือ ขั้นตอนนี้มีต้นทุนเป็นค่าแก๊ส ซึ่งต้นทุนตัวนี้จะไม่คงที่ขึ้นอยู่กับ capacity ของการประมวลผลบนเครือข่าย ซึ่งอาจมีราคาตั้งแต่ $20 กว่า ๆ ไปจนเกือบ ๆ $40 ได้ ดังนั้นก่อนที่จะลิสต์ผลงานขึ้นเป็น NFT เพื่อให้ประหยัดต้นทุนก็ควรตรวจสอบค่าแก๊สก่อนลงผลงานจะดีที่สุด
ขั้นตอนที่ 6: แสดงรายการ NFT สำหรับการขาย
การลงประกาศขาย NFT นั้นง่ายดาย และแพลตฟอร์ม NFT ส่วนใหญ่อนุญาตให้คุณใช้งานได้ฟรี เมื่อ NFT ของคุณถูกสร้างขึ้นและอยู่ในกระเป๋าเงินของคุณแล้ว คุณสามารถกดปุ่ม "ขาย" บนแพลตฟอร์มที่คุณเลือก และเลือกราคาที่คุณต้องการลงรายการ และระยะเวลาที่คุณต้องการให้การขายคงอยู่
ข้อดีข้อเสียของ NFT
ข้อดีของ NFT
จากลักษณะและการทำงานของ NFT ตามที่กล่าวมาแล้ว ทำให้ NFT สามารถสร้างประโยชน์ส่วนเพิ่มให้กับทั้งผู้ขายหรือศิลปินเจ้าของผลงาน และ ผู้ซื้อหรือนักสะสม ดังนี้
ช่วยทำให้ไฟล์ดิจิทัลทั่ว ๆ ไปมีความเฉพาะตัว (Unique)
สามารถเป็นเจ้าของและเก็บสะสมได้ เช่น ทวีตแรกของผู้ก่อตั้งทวิตเตอร์อย่าง Jack Dorsey ที่เดิมก็เป็นเพียงแค่ทวีตที่ใครก็สามารถเปิดเข้าไปดูได้ แต่เมื่อนำมาทำเป็น NFT ทำให้เกิดสิทธิในความเป็นเจ้าของ และทำให้สิ่งที่ใครก็เข้าไปดูได้มีความเฉพาะตัว สามารถเก็บสะสมได้ และมีมูลค่าในสายตาของผู้ซื้อ
ช่วยยืนยันสิทธิให้กับผู้สร้างในผลงานที่พิสูจน์ความเป็นเจ้าของได้ยาก
เช่น ผลงานศิลปะที่แม้จะมีลายเซ็นต์อยู่ แต่ก็สามารถพิสูจน์ได้ยาก หรือต้องใช้ความเชี่ยวชาญในการพิสูจน์ว่าเป็นของจริงหรือไม่ แต่ NFT ทำให้ขั้นตอนเหล่านี้เป็นเรื่องง่ายและทำได้ ช่วยให้ศิลปินสามารถนำผลงานมาประมูลหรือขายได้โดยที่แทบไม่ต้องมีความยุ่งยากในการตรวจสอบเลย
สามารถช่วยป้องกันการถูกนำผลงานไปดัดแปลง
เนื่องจากเทคโนโลยีบล็อกเชนที่นำมาใช้จะทำให้เมื่อมีการบันทึก NFT ลงในระบบแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้อีก จึงไม่สามารถถูกดัดแปลง ไม่สามารถถูกลบ หรือแทนที่ด้วยสิ่งอื่นได้อีก ช่วยให้ผู้สร้างมั่นใจได้ว่าผลงานจะไม่สูญหาย หรือถูกนำไปใช้งานผิดประเภท
สามารถประยุกต์ใช้กับสัญญาอัจฉริยะสร้างความเป็นไปได้ที่หลากหลาย
NFT สามารถนำมาใช้งานร่วมกับสัญญาอัจฉริยะที่เป็นฟีเจอร์ที่น่าสนใจของเทคโนโลยีบล็อกเชน ที่สามารถบรรจุผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีการปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาเรียบร้อยแล้ว เช่น สัญญาอัจฉริจะของ NFT สามารถสร้างให้เหรียญ NFT สามารถจ่ายผลตอบแทนเป็นส่วนแบ่งเปอร์เซนต์ให้กับเจ้าของเดิมได้เมื่อเหรียญมีการขายต่อในอนาคต เป็นต้น
ข้อเสียของ NFT
จากที่กล่าวมาจะพบว่าการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนที่พ่วงมากับฟีเจอร์ของสัญญาอัจฉริยะเข้ามาใช้กับสินค้าหรือผลงานต่าง ๆ ก่อให้เกิดประโยชน์และลดข้อจำกัดของสินค้าแต่ละอย่างลงไปอย่างมากมาย กระนั้น NFT ก็ยังเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มากและข้อมูลย้อนหลังที่จะทำให้นักลงทุนตรวจสอบนั้นก็มีไม่มาก ดังนั้นเทคโนโลยีตัวนี้จึงมาพร้อมกับความเสี่ยงเช่นกัน โดยความเสี่ยงหลัก ๆ ที่นักลงทุนควรคำนึงถึง เช่น
ตลาด NFT มีการเก็งกำไรและมีความไม่แน่นอนสูง
ตลาด NFT เป็นตลาดเก็งกำไร นักลงทุนพยายามหาซื้องานในราคาที่มีราคาถูกในสายตาของตนเอง และพยายามจะขายมันออกไปในราคาแพง ๆ ดังนั้นปัญหาอย่างหนึ่งก็คือมูลค่าพื้นฐานของ NFT นั้นคำนวณออกมาได้ยาก เนื่องจากมูลค่าของมันขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของคนซื้อล้วน ๆ ทำให้การลงทุนแบบนี้อาจต้องใช้เวลาในระยะยาวสำหรับการเก็บรักษาเพื่อเพิ่มมูลค่า แต่ก็ต้องเผชิญปัญหาอีกว่าการลงทุนในรูปแบบ NFT นี้จะสามารถอยู่ไปได้ยาวนานพอหรือไม่
แม้ NFT จะดัดแปลง/ทำซ้ำไม่ได้ แต่ไฟล์ต้นฉบับนั้นทำได้
จริงอยู่ที่เมื่อไฟล์ดิจิทัลถูกแปลงเป็น NFT เรียบร้อยแล้ว เหรียญนั้นจะไม่สามารถถูกดัดแปลง แก้ไข ลบ หรือนำไปใช้งานผิดประเภทได้ ทำให้นักลงทุนมั่นใจได้แบบสุด ๆ ว่างานชิ้นนั้นมีความเป็นออริจินัลสูง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าไฟล์ดิจิทัลที่สร้างขึ้นก่อนหน้านั้นจะเป็นงานต้นฉบับเช่นกัน เนื่องจากแม้จะมีการประมูลไปด้วยราคาแพงลิ่ว แต่ผลงานดิจิทัลบางตัว เช่น Weird Whale Image ที่ประมูลไปด้วยราคาสูงลิ่วถึง $160,000 ดอลลาร์ก็ถูกพบในภายหลังว่าภาพวาดนั้นอาจได้มาจากการลอกเลียนงานศิลปะอื่น ซึ่งเส้นแบ่งของการลอกเลียนและการได้รับแรงบันดาลใจก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
สามารถถูกขโมยได้
เช่นเดียวกับที่สกุลเงินดิจิทัลถูกขโมย NFT ก็สามารถถูกแฮ็กและขโมยได้ไม่ต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเบื้องหลังที่เกี่ยวข้องกับ NFT เช่น เทคโนโลยีความปลอดภัยที่ Marketplace เลือกใช้ หรือความปลอดภัยของกระเป๋าเงินดิจิทัล
ภาษี
เนื่องจากการซื้อขาย NFT ก็ยังนับเป็นการซื้อขายสินค้า ดังนั้นจึงมีโอกาสที่ในอนาคต NFT จะถูกเก็บภาษีจากการซื้อขายได้ด้วย
NFT สามารถใช้ทำอะไรได้บ้าง?
NFT จะอยู่เก็บและแชร์ข้อมูลอยู่บนเครือข่ายบล็อกเชนเช่นเดียวกับสกุลเงินดิจิทัล เพียงแต่สกุลเงินดิจิทัลอาจมีเครือข่ายบล็อกเชนหลากหลายรองรับ เช่น Bitcoin, Ethereum, Cardano ฯลฯ แต่สำหรับ NFT นั้นมักจะรันบนเครือข่ายบล็อกเชนของ Ethereum แม้ว่าจะมีเครือข่ายอื่น ๆ ที่สามารถรองรับได้ก็ตาม
การขุด หรือ สร้าง เหรียญ NFT นั้นทำได้ด้วยการนำงานดิจิทัลไม่ว่าจะเป็นงานที่จับต้องได้หรือไม่ได้ก็ตามมาแปลงเป็นเหรียญ NFT โดยเสียค่าธรรมเนียม ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เป็นค่า Gas บนเครือข่าย Ethereum โดยงานที่สามารถนำมาทำเป็น NFT ได้ เช่น ไฟล์งานศิลปะ ไฟล์ GIFs ไฟล์วิดีโอ ของสะสม ภาพแสดงเสมือนตัว หรือ ไอเท็มเฉพาะในเกมและไฟล์เพลง
หรือแม้แต่ทวีตแรกของผู้ก่อตั้งทวิตเตอร์อย่าง Jack Dorsey ก็สามารถนำมาขายในรูปเหรียญ NFT ได้มูลค่ามากกว่า $2.9 ล้านดอลลาร์ไปเรียบร้อยแล้ว
โดยทั่วไปแล้ว NFT ก็เป็นคล้าย ๆ กับคอลเลคชั่นงานศิลปะที่จับต้องได้อย่างที่เราคุ้นเคย เพียงแค่ว่ามันอยู่ในรูปดิจิทัลเท่านั้น โดยเพิ่มฟังก์ชั่นในการซื้อขายแลกเปลี่ยนแบบไร้ตัวกลางผ่านระบบสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) บนเครือข่ายบล็อกเชน (Blockchain) ที่เพิ่มความสามารถในการตรวจสอบและความน่าเชื่อถือเข้าไป ซึ่งการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาใช้งานช่วยให้ NFT มีคุณสมบัติเพิ่มเติมจากงานศิลปะแบบดั้งเดิม นั่นคือ
มีความเป็นมาตรฐาน (Standardization)
นั่นคือสินค้าต่าง ๆ ที่เราคุ้นเคยนั้นจะมีแพลตฟอร์มสำหรับจัดการที่แตกต่างกันไป เช่น แพลตฟอร์มสำหรับซื้อขายแลกเปลี่ยนตั๋วคอนเสิร์ต แพลตฟอร์มสำหรับประมูลงานศิลปะ แพลตฟอร์มสำหรับการซื้อขายเพลงดิจิทัล แต่สำหรับ NFT นั้นทุก ๆ เหรียญไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนจะสามารถจัดเก็บ ซื้อขาย และส่งมอบโอนย้ายได้บนแพลตฟอร์มเดียวกัน
มีความสามารถในการทำงานร่วมกัน (Interoperability)
ไม่ว่า NFT จะถูกสร้างและวางขายที่ไหน เมื่อได้มาเป็นเจ้าของแล้วก็สามารถเคลื่อนย้ายไปยังแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้ เก็บไว้ในกระเป๋าเงินดิจิทัลได้ นำไปวาง หรือขายบน Marketplace ไหนก็ได้ที่รองรับเครือข่ายบล็อกเชนที่สนับสนุน NFT นั้น ๆ อยู่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น Ethereum
สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ง่าย (Tradeability)
ตัวเหรียญ NFT ถูกออกแบบมาให้อยู่บนเครือข่ายบล็อกเชนซึ่งสามารถเขียนสัญญาอัจฉริยะได้ ทำให้การซื้อขายสามารถเกิดขึ้นได้บนเงื่อนไขหลายแบบแล้วแต่ผู้ขายจะตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งราคาขายแบบตายตัว หรือ การประมูล ก็สามารถทำได้
แก้ไขดัดแปลงไม่ได้แต่สามารถพิสูจน์ต้นตอที่มาได้ง่าย (Immutability and provable scarcity)
การถูกบันทึกลงบนเครือข่ายบล็อกเชนทำให้เมื่อบันทึกข้อมูลลงไปแล้วไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้อีก นอกจากนี้ก็ยังสามารถตรวจสอบต้นตอที่มาได้ เพราะทุกข้อมูลธุรกรรมการแลกเปลี่ยน โอน ซื้อขาย จะถูกบันทึกอยู่บนเครือข่ายทั้งหมด
ถูกโปรแกรมได้ (Programmability)
ด้วยการนำสัญญาอัจฉริยะเข้ามาจัดการธุรกรรม ทำให้นอกจากรูปแบบการซื้อขายที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของผู้ขาย ผู้ขายยังสามารถโปรแกรมเงื่อนไขอื่น ๆ ลงบน NFT ได้ด้วย เช่น เกมที่สามารถนำคาแรกเตอร์ที่เป็น NFT มาผสมพันธุ์กันจนได้เป็น คาแรกเตอร หรือ NFT ใหม่ หรืออาจเป็นการเพิ่มเงื่อนไขการใช้งาน NFT เช่น ไม่อนุญาตให้ใช้ในเชิงพานิชย์ การวางเงื่อนไขส่วนแบ่งรายได้เมื่อมีการนำเหรียญไปขายต่อ เป็นต้น
ตัวอย่างการใช้งาน NFT
แม้หลาย ๆ คนจะยังสงสัยกับคุณสมบัตของ NFT แต่ปัจจุบันก็เริ่มมีการนำ NFT มาใช้งานแพร่หลายมากขึ้นแล้วในหลากหลายวงการด้วยกัน เช่น
ภาพวาด Mona Lisa ถูกแปลงเป็นไฟล์ NFT
1. ตั๋วอีเวนต์
สำหรับกรณีนี้การสร้างตั๋วให้เป็น NFT จะทำให้การซื้อขายแลกเปลี่ยนและการตรวจสอบประวัติการซื้อขายทำได้ง่าย ผลที่เกิดขึ้นก็คือ การขโมยตั๋วจะทำไม่ได้ การปลอมตั๋วก็ยิ่งทำไม่ได้มากขึ้นไปอีก เพราะไม่มีใครสามารถแฮ็กหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลเกี่ยวกับตั๋วนั้นบนบล็อกเชนได้
นอกจากนี้ด้วยการที่สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ง่าย และมีสภาพคล่องที่สามารถซื้อขายได้รวดเร็ว ทำให้สามารถซื้อขายตั๋วได้ตามราคาที่ผู้ซื้อและผู้ขายพอใจอย่างแท้จริง
2. สินค้าแฟชั่น
ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งที่วงการแฟชั่นกำลังเผชิญอยู่นั่นก็คือการปลอมสินค้า โดยเฉพาะสินค้าหรู เช่น กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ เข็มขัดแบรนด์ดัง ซึ่งในจุดนี้การมีเหรียญ NFT แนบติดไปกับสินค้าด้วยจึงสามารถช่วยพิสูจน์สินค้าของจริงได้โดยที่มีความแม่นยำแบบไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์หรือความเชี่ยวชาญจึงจะดูออก
นอกจากนี้ NFT ยังสามารถช่วยระบุที่มาของวัสดุที่นำมาใช้ผลิตสินค้าหรูหราต่าง ๆ แหล่งผลิต รวมถึงจุดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจชองสินค้าชิ้นนั้น ๆ แนบติดกับตัวสินค้าจริง ๆ ไปได้ด้วย นอกจากนี้ยังสามารถบอกเล่าประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวสินค้า เช่น เรื่องราวการผลิตสินค้าและความยั่งยืน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยทำให้สินค้ามีข้อบ่งชี้ด้านธรรมาภิบาลที่มักจะมีผลต่อการตัดสินใจของผู้ซื้อในปัจจุบัน
3. งานสะสม
สิ่งสำคัญที่ผู้ซื้อจะมองหาในของสะสม นอกจากจะเป็นความสวยงาม ความพอใจและความชื่นชอบแล้ว ของสิ่งนั้นก็ควรเป็นสิ่งที่หาได้ยาก โดยเฉพาะหากมีเพียงชิ้นเดียวบนโลกก็มักจะสร้างความสนใจให้กับนักสะสมได้เป็นพิเศษ และนั่นคือคุณสมบัติที่ NFT สามารถมอบให้ได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นภาพวาดที่แม้ปัจจุบันจะสามารถผลิตได้ไม่จำกัดด้วยไฟล์ jpec หรือ gif, คลิปวีดิโอที่สามารถอัปโหลดได้ไม่รู้จบ แต่ทั้งหมดนี้สามารถเกิดเป็นลายเซ็นดิจิทัลที่มีเพียงชิ้นเดียวบนโลกและสามารถครอบครองนำมาสะสมและวางแสดงได้ด้วย NFT
4. ไอเท็มเกม
ปัจจุบันตลาดเกมเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่และมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ อย่างน่าสนใจ ซึ่งมูลค่าที่จะเติบโตขึ้นไม่ได้มีเพียงแค่เกมเท่านั้น แต่สินค้าที่อยู่ในเกมก็มีแนวโน้มที่จะเติบโตตามไปด้วย ซึ่ง NFT จะเข้ามาทำให้การเป็นเจ้าของไอเท็มหายากในเกมนั้นสามารถถูกยืนยันได้ และแน่นอนเมื่อสามารถยืนยันและเป็นเจ้าของได้ ก็สามารถนำมันไปโอนขายให้กับผู้สนใจคนอื่น ๆ ได้เช่นกัน ซึ่งตัว NFT ก็จะสามารถบันทึกธุรกรรมตลอดสายของการซื้อขายไอเท็มนั้น ๆ เอาไว้ได้ทั้งหมด
“5” โปรเจ็ค NFT ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด
1.Mutant Ape Yacht Club (MAYC)
เป็นส่วนขยายของคอลเลกชัน NFT Bored Ape Yacht Club (BAYC) มีสิทธิประโยชน์และให้สมาชิกสามารถเข้าถึงชุมชนพิเศษของคอลเลกชันได้
2.Parallel Alpha
เกมการ์ด NFT ที่การ์ดทั้งหมดทำหน้าที่เป็นของสะสม ผู้เล่นแข่งขันกันเองโดยใช้สำรับ NFT ที่รวบรวมได้ และเกมดำเนินการบนหลักการการเล่นและแข่งขันกันเอง
3.THAI GHOST
โดยคุณเติ้ล ฐิติพันธ์ ทับทอง เพิ่มมูลค่าให้กับผีไทยจนกลายเป็นของสะสมหายาก
4.BitToonDAO
การ์ตูนคริปโตสุดกวนจากครีเอเตอร์ชาวไทยที่ได้ Sold Out ไปอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น
5.3Landers
โปรเจกต์ NFT จากศิลปินไทยขึ้นอันดับ 1 ใน OpenSea เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2022
สิ่งที่คุณควรรู้ก่อนลงทุนใน NFT
NFT จัดเป็นโทเค็นที่ไม่สามารถเข้ากันได้ ถือเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีลักษณะเฉพาะซึ่งอยู่ในรูปแบบของข้อมูลบนบล็อกเชน โดยทั่วไปแล้ว NFT สามารถซื้อขายได้ทางออนไลน์อย่างง่ายดาย แม้ว่าในช่วงเวลานี้จะไม่ค่อยมีคนพูดถึงมากนัก แต่ก็ยังมีหลายคนให้ความสนใจในการลงทุนอยู่เพราะถือว่า NFT เป็นงานศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ หายาก และเหมาะกับการลงทุนระยะยาว ดังนั้น หากคุณต้องการลงทุน NFT อย่าลืมพิจารณาข้อสำคัญดังต่อไปนี้
1. คุณสมบัติเฉพาะของ NFT
NFT มักมาในรูปแบบของคอลเลกชัน ตัวอย่างเช่น MekaVerse, Bored Ape Yacht Club ที่อาจหมายถึงเป็นไอเท็มหายาก และคุณยังสามารถตรวจสอบ Trending หรือ Top ที่หมายถึงคอลเลกชันที่กำลังได้รับความนิยมตอนนี้
2.ผู้ขายที่มีการยืนยันตัวแล้ว
สำหรับผู้ขายอย่างเป็นทางการบนแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลยอดนิยมเช่น OpenSea จะมีเครื่องหมายถูกสีน้ำเงินถัดจากชื่อบัญชีเพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาสามารถเชื่อถือได้และไม่ใช่บัญชีแอบอ้าง ดังนั้น หากคุณต้องการซื้อจากผู้ขายที่มีชื่อเสียงโดยตรวจสอบให้แน่ใจว่าบัญชีมีเครื่องหมายยืนยัน อย่างไรก็ตาม เครื่องหมายยืนยันนี้ไม่สามารถใช้เพื่อตรวจสอบความถูกต้องตามกฎหมายของผู้ขายได้เสมอไป ผู้ขาย NFT ที่ถูกต้องตามกฎหมายหลายรายไม่มีเครื่องหมายยืนยันในบางแพลตฟอร์ม
3. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมของแพลตฟอร์ม
เมื่อคุณแลกเปลี่ยนคริปโตเพื่อซื้อ NFT คุณต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม ตัวอย่างเช่น OpenSea จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมสำหรับผู้ขาย 2.5%โดย 2.5% ของมูลค่าการขายจะไปที่ OpenSea อย่างไรก็ตาม ผู้ซื้อไม่จำเป็นต้องชำระค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมใด ๆ
4.ประสิทธิภาพด้านราคาของ NFT อื่น ๆ ของผู้ขาย
หากคุณต้องการยืนยันว่า NFT ที่คุณเลือกเป็นการลงทุนที่ดีและจะมีมูลค่าสูงกว่าหรือไม่ ให้คุณทำการตรวจสอบบัญชีของผู้ขายเสมอสิ่งนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจได้ดีว่าราคา NFT มีความผันผวนอย่างไร และมีความสัมพันธ์กับสิ่งที่คุณต้องการเห็นใน NFT ที่คุณเลือกในอนาคตหรือไม่
สำหรับการซื้อขาย NFT สิ่งที่นักลงทุนต้องมีก็คือเหรียญคริปโตสกุลที่กำหนด บัญชีซื้อขาย และปฏิบัติตามเงื่อนไขการซื้อขายที่ผู้ขายกำหนดไว้ นั่นคือ
1. สมัครบัญชีผู้ใช้บน Marketplace หากยังไม่มีบัญชีผู้ใช้บน Marketplace ก็จำเป็นต้องสมัครสมาชิกก่อน และทำการเชื่อมต่อบัญชีเข้ากับกระเป๋าเงินดิจิทัลที่แพลตฟอร์มรองรับ แม้จะยังไม่จำเป็นต้องใส่เงินในกระเป๋าเงินทันที แต่ในกำหนดเวลาที่ต้องชำระค่าซื้อขายก็ควรมีเหรียญในกระเป๋าเงินดิจิทัลให้ครบจำนวน
2. เลือก NFT ที่หมายตา สมมติบน opensea.io เราสามารถค้นได้จากผลงานที่เพิ่งสร้างใหม่ หรือเลือกจากชนิดของงานศิลปะ ซึ่งหากพบผลงานที่ขึ้นให้ “ซื้อตอนนี้” นั่นคือราคาสุดท้ายแล้วที่เราสามารถชำระเพื่อให้ได้ NFT นั้นมา แต่หากผลงานนั้นขึ้นว่า “การประมูล” คุณจำเป็นต้องเสนอราคา และคนที่เสนอราคาแพงที่สุดในช่วงสุดท้ายก่อนปิดประมูล คนนั้นก็จะได้งาน NFT นั้นไป
3. การชำระราคา สมมติคุณเลือกการ “ซื้อทันที” ก็จำเป็นต้องยืนยันการทำรายการสองชั้น และชำระเงินค่าซื้อขายด้วย Ethereum ทันที โปรดระลึกไว้ว่าในการซื้อขาย NFT นั้นผู้ซื้อจำเป็นต้องจ่ายค่าธุรกรรมเพิ่มต่างหากจากราคาค่าซื้อขาย ซึ่งค่าธรรมเนียมนี้จะอยู่ที่ราว ๆ 0.22 ETH
4. ตรวจสอบการโอน NFT เมื่อชำระเงินเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถเข้าไปเช็กการโอน NFT ได้ทั้งบนกระเป๋าเงินดิจิทัลที่เชื่อมต่อไว้กับ opensea.io หรือ ในคอเลคชั่นของคุณบน opensea.io และเมื่อ NFT ถูกโอนมาแล้ว คุณก็สามารถนำมันไปวางแสดงไว้ หรือ นำไปตั้งราคาขายต่อก็สามารถทำได้ทั้งหมด
ปัญหาลิขสิทธิ์
สำหรับลิขสิทธิ์ของ NFT ในประเทศไทยยังไม่ได้มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนเนื่องจาก NFT ยังเป็นเรื่องใหม่มาก แต่สำหรับแนวปฏิบัติในปัจจุบันนั้นอ้างอิงกับกฎหมายลิขสิทธิ์เดิม นั่นคือตามพรบ.ลิขสิทธิ์มาตรา 8 กำหนดให้ “ผู้สร้างสรรค์เป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในงานที่ตนได้สร้างสรรค์ขึ้น” ดังนั้นลิขสิทธิ์ของ NFT จึงตกอยู่กับผู้สร้างนับตั้งแต่สร้างผลงานเสร็จเรียบร้อย แม้ว่าผลงานนั้นในภายหลังจะนำไปสร้างเป็น NFT ลิขสิทธิ์และสิทธิความเป็นเจ้าของในผลงานทางกายภาพที่เกิดขึ้นก็ยังคงเป็นของผู้สร้างสรรค์อยู่ และผู้ซื้อ NFT จะได้สิทธิครอบครอง NFT ที่สามารถใช้แสดงบนออนไลน์ได้เท่านั้น
อย่างไรก็ดีข้อกำหนดนี้อาจมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากบล็อกเชนที่สนับสนุน NFT มีฟีเจอร์ของสัญญาอัจฉริยะ ที่สามารถทำให้ผู้สร้างสรรค์ผลงานกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับลิขสิทธิ์เป็นอย่างอื่นได้ เช่น การอนุญาตให้ผู้ถือ NFT นำไปใช้ในเชิงพานิชย์ นำไปดัดแปลง
หรือในกรณีภาพวาดของ Banksy ศิลปินชื่อดัง เมื่อมีการสร้าง NFT ของภาพวาดขึ้นแล้ว ภาพต้นฉบับถูกนำมาเผาทำลาย ทำให้ลิขสิทธิ์บนภาพวาดจริงหมดไปเหลือเพียงไฟล์ดิจิทัลบน NFT เท่านั้น และภาพวาด NFT ตัวนั้นก็ถูกประมูลไปด้วยมูลค่าสูงถึง $380,000 ดอลลาร์
ดังนั้นในเรื่องของลิขสิทธิ์บน NFT นั้นผู้ซื้อมักจะได้เพียงสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของไฟล์ดิจิทัลบน NFT เท่านั้น แต่สิทธิ์อื่น ๆ ที่จะได้จำเป็นต้องตรวจสอบ “licensing agreement” หรือ “สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ” ของ NFT ให้ถี่ถ้วนก่อน ซึ่งข้อกำหนดตัวนี้อาจมีความแตกต่างได้ตามผลงานแต่ละชิ้นเพื่อให้สามารถใช้ NFT ได้ถูกต้องตามเงื่อนไขและสัญญาการใช้งาน
นโยบายท้องถิ่น
กลต.ที่คาดกันว่าจะเป็นผู้เข้ามาดูแลและควบคุมการซื้อขายเหรียญดิจิทัล รวมถึง NFT ได้วางแนวทางไว้เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2021 ที่ “ห้ามศูนย์ซื้อ-ขายสินทรัพย์ดิจิทัลให้บริการซื้อ-ขาย “Utility Token พร้อมใช้” หรือคริปโทเคอร์เรนซี ที่มีลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังต่อไปนี้” Meme Token, Fan Token, Non-Fungible Token : NFT, เหรียญที่ออกโดยศูนย์ซื้อ-ขายเอง ดังนั้นการซื้อขาย NFT บน “ศูนย์ซื้อ-ขายสินทรัพย์ดิจิทัล” จึงไม่สามารถทำได้ภายใต้การกำกับดูแลของกลต. หรือ คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
อย่างไรก็ดี สำหรับงานศิลปะในรูป NFT ได้มีหลักเกณฑ์เพิ่มเติมออกมาในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ที่มีการกล่าวถึงคำอธิบายของกลต. ที่ให้ผู้บริการรายหนึ่งสามารถแสดงผลงานและเสนอบริการ Marketplace สำหรับงานศิลปะ NFT ได้ โดยกล่าวว่า NFT ที่มีลักษณะเป็น digital life ที่แสดงถึงชิ้นงานศิลปะในรูปหน่วยอิเล็กทรอนิกส์ โดยที่ไม่ได้มีการกำหนดสิทธิของบุคคลในการลงทุนรูปแบบใด ๆ หรือต้องการนำไปใช้เพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าบริการอื่น ๆ ที่เป็นลักษณะคล้ายหุ้น สินทรัพย์ทางการเงินเพื่อการลงทุน หรือสกุลเงิน ไม่เข้าข่ายเป็นโทเคนดิจิทัลและไม่เข้าข่ายป็นสกุลเงินดิจิทัลตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.ก. การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลฯ เป็นผลให้การให้บริการ NFT marketplace นั้นสามารถทำได้
อนาคตของ NFT
ถึงตรงนี้เราคงต้องบอกว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมาตลาด NFT มีการขยายตัวของกลุ่มผู้ใช้อย่างรวดเร็วทั้งจากกลุ่มผู้สร้างสรรค์ผลงานและผู้ซื้อ ซึ่งแน่นอนว่าก็จะตามมาด้วยศักยภาพที่จะทำกำไรได้ แต่เราก็ต้องยอมรับว่าตลาดนี้ยังเป็นอะไรที่ใหม่มาก และหลายคนยังคงตั้งคำถามว่าเทคโนโลยีตัวนี้จะยังดำรงอยู่ไปได้ต่อไปในอนาคตหรือไม่
ซึ่งไม่ว่าตลาดนี้จะยังเป็นที่นิยมหรือไม่ในอนาคต งานศิลปะและสินค้าที่อยู่บนเครือข่ายนี้ก็จะยังดำรงอยู่ต่อไปตราบใดที่ไม่มีการแทรกแซงระบบ เพราะเครือข่ายบล็อกเชนนั้นไม่อนุญาตให้มีการแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือลบ ข้อมูลที่เกิดขึ้นแล้วได้ ดังนั้นแม้ว่างานศิลปะที่เป็นต้นฉบับ เช่น ภาพวาด งานศิลป์ ฯลฯ ตัวจริงจะเสื่อมสลายไปตามเวลา แต่ตัวงานที่เป็น NFT จะยังคงอยู่เหมือนเดิม และแน่นอนว่าอนาคตของตลาดการซื้อขาย NFT ก็ยังเป็นสิ่งที่เราต้องตามดูกันต่อไป
สรุป
แน่นอนว่าในปัจจุบันการซื้อขาย NFT นั้นทำได้ง่ายมาก เพียงแค่คุณมีเหรียญคริปโตในกระเป๋าเงิน การเลือกซื้อและชำระราคาก็เป็นเรื่องง่าย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจะสามารถทำกำไรจากการลงทุนนี้ได้
เพราะ NFT เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงและมีความไม่แน่นอนสูง และเราไม่สามารถใช้ข้อมูลในอดีตเพื่อมาคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้เพราะเทคโนโลยีตัวนี้ใหม่มาก การจะประเมินมูลค่าพื้นฐานของเหรียญก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยเนื่องจากราคาของมันขึ้นอยู่กับความต้องการซื้อขายของผู้ซื้อและผู้ขายล้วน ๆ แต่นี่ก็เป็นโอกาสที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ ดังนั้นการลงทุนด้วยสัดส่วนของเงินทุนที่ไม่มากจึงน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี และเข้าซื้อผลงานที่ดูมีคุณค่าในสายตาของคุณ
อย่างไรก็ดี เพราะการซื้อขาย NFT นั้นขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้ซื้อผู้ขายล้วน ๆ ดังนั้นจึงมีโอกาสอยู่เหมือนกันที่คุณจะต้องขายมันออกไปด้วยราคาที่ต่ำกว่าที่ซื้อมาจนเกิดเป็นผลขาดทุน แต่ NFT ก็ยังถือเป็นการกระจายพอร์ตการลงทุนสำหรับระยะยาวที่ดี
ทั้งหมดนี้ก็คือข้อมูลที่เรานำมาเล่าสู่กันฟังเพื่อตอบคำถามที่ว่า NFT คืออะไร ยังน่าลงทุนอยู่หรือไม่ จะกลายมาเป็นกระแสร้อนแรงในอนาคตหรือเปล่า ซึ่งเพื่อน ๆ ก็คงได้เห็นแล้วว่าการมาถึงของ NFT นั้นไม่ได้มาแบบลอย ๆ แต่สามารถเข้ามาแก้ปัญหาของแต่ละวงการได้เป็นอย่างดี ซึ่งมีโอกาสสูงที่เทคโนโลยีตัวนี้จะถูกนำมาใช้ในวงกว้างมากขึ้นต่อไป
1.NFT คืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร
2.NFT หมายถึงอะไร
3.NFT ทำเงินได้ยังไง
4.ต้องใช้เงินอะไรในการซื้อขาย NFT
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน