Ethereum(ETH) คืออะไร? ทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องรู้
Ethereum(ETH) คืออะไร? Ether คืออะไร?
Ethereum คือ Programmable Blockchain หรือแพลตฟอร์ม Blockchain ที่รองรับแอพริเคชั่นหลากหลายด้วยการใช้ Smartcontract รองรับการมาของ Web3 ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกของเราจากเว็ปไซต์หรือ Application ต่างๆที่ใช้แบบรวมศูนย์ให้กลายมาเป็นแบบกระจายศูนย์ เพื่อความปลอดภัยและการกระจายรายได้อย่างเท่าเทียม
อีกนัยนึง Ethereum นั้นก็เป็น ‘สกุลเงิน’ ใน Ecosystem ของ Ethereum พูดอย่างง่ายคือใครก็ตามที่จะใช้บริการบน Ethereum พวกเขาจำเป็นที่จะต้องใช้ Ethereum มาใช้เป็นค่าบริการสำหรับ Transaction และมันยังสามารถที่จะส่งให้แก่คนอื่นได้อีกด้วย ทำให้มันเป็นเหมือน Internet Money อีกสกุลหนึ่งเฉกเช่น Bitcoin
หรือสรุปเป็น 2 ประเด็นคือ:
1. เครือข่าย Ethereum ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) และแอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจ
2. Ether ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม Ethereum เมื่อมีคนพูดถึงการซื้อขายการลงทุนหรือการจ่ายเงินด้วย Ethereum จะหมายถึงสกุลเงิน Ether
▲ ใครเป็นคนสร้าง Ethereum?
Vitalik Beterin คือเด็กหนุ่มผู้ก่อตั้ง Ethereum เขาเป็นชาว Russian-Canadian ที่ซึ่งเป็นนักเขียนและ Programmer ในตัวคนเดียวกัน เขาได้หลงใหลใน Bitcoin ตั้งแต่ปี 2011 ในช่วงนั้นเขารับงานเป็นนักเขียนคอลัมน์เกี่ยวกับ Bitcoin (Bitcoin Magazine) หลังจากนั้นเขาก็ได้หลงใหลใน Cryptocurrency เป็นอย่างมาก จากงานที่ทำในครั้งนั้น จึงเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการสร้าง Ethereum ขึ้นมา โดยเจาะจงไปที่การสร้าง DApps นั่นเอง
เขาได้เดินทางไปทั่วโลก 6 เดือนเต็มในปี 2013 เพื่อพูดคุยกับคอมมูนิตี้ Bitcoin เขาก็ได้คิดได้ว่า ‘เขาสามารถต่อยอดไอเดียของ Bitcoin ได้’ ด้วยการใช้ Blockchain ของ Bitcoin มาใช้กับ Application ต่างๆที่รันกันอยู่บนอินเทอร์เน็ตอยู่ทุกวันนี้ โดยใช้การส่งข้อมูลแบบ Decentralized มาใช้เป็นการส่งคำสั่งแทนที่เรียกว่า ‘Smart contracts’ ที่ซึ่งจะเป็นกฎที่อยู่บน Blockchain ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และทำให้ App ต่างๆต่อไปนี้เปลี่ยนมาเป็นแบบ Decentralized ได้
▲ Ether คืออะไร?
Ether เป็นชื่อของ Token ของ Ethereum ทุกๆโปรแกรมต้องใช้ Ether (Token) มาเพื่อเป็นค่าบริการในข้างต้น เพื่อใช้เป็น ‘Fuel’ หรือเชื้อเพลิง ในการให้แอพพลิเคชั่นรัน (เหมือนการหยอดเหรียญในตู้กดน้ำ) ซึ่ง Token นี้จะเป็นผลตอบแทนให้กับผู้ที่ช่วยตรวจสอบ Transaction หรือ ‘Node’ เพื่อให้ Ecosystem ของ Ethereum ใหญ่โตมากยิ่งขึ้น
ลักษณะการทำงานของ Ethereum คืออย่างไร? Ethereum ใช้มาทำอะไรได้บ้าง
Ethereum คือ Blockchain ที่มุ่งมั่นในการสร้าง DApps เป็นหลักโดยใช้ระบบการตรวจสอบแบบ Proof-of-work คือการ เก็บ 'Database' หลายแห่ง ทุก Node (คอมพิวเตอร์) จะมี Data ชุดเดียวกันและจะทำการตรวจสอบกันว่าชุดข้อมูล Data ตรงกันหรือไม่ หากไม่ตรงก็จะทำการปัดตก Node นั้นไปทันที ทำให้ Node ดังกล่าวไม่ได้รับ Reward หรือ ‘Ether’ ไปนั่นเอง
ไม่ว่าจะเป็น Data แบบไหน มันก็ถูกส่งกันผ่าน Blockchain ได้หากอยากทำให้มัน Decentralized และปลอดภัย ทำให้เกิดการนำแนวความคิดนี้มาใส่ใน Application ที่ซึ่งเราสามารถที่จะส่งข้อมูลของสิ่งต่างๆหากันได้ไม่ว่าจะเป็น ไอเท็มในเกม, รูปภาพ, Identity ต่างๆที่ซึ่งจะปลอมแปลงไม่ได้
ทุกๆอย่างถูกควบคุมโดย Code นั้นทำให้มันไม่จำเป็นต้องใช้ตัวกลางในการรันโปรแกรม โปรแกรมเหล่านั้นล้วนใช้งานอยู่บน ETH Blockchain เมื่อมีการ Input ข้อมูลเข้าไป Code ที่เขียนไว้จะรันมันตามที่ว่าไว้ ทำให้คุณสามารถใช้งานแอพพริเคชั่นได้โดยผ่านการจ่ายเหรียญ ETH ไปใน Blockchain เพื่อใช้แอพที่อยู่บนนั้น เสมือนการที่เรากดตู้หยอดน้ำนั้นเอง
แล้ว Ethereum ใช้มาทำอะไรได้บ้าง?
Ethereum มีโปรเจ็กต์ที่มาสร้างนับเป็นพันพันโปรเจ็กต์ แต่โปรเจ็กต์ที่โดดเด่นนั้นอาจจะมีไม่มากนัก ซึ่งจะแบ่งตามหมวดหมู่ได้ดังนี้
1. Decentralized Finance
โปรเจ็กต์ของ Ethereum ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การกระจายศูนย์ของระบบการเงิน การใช้ Crypto เพื่อมาทดแทนธนาคารในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Lending, Borrowing, Earning, Interest หรือ Payment ต่างๆโดยที่ไม่ต้องเก็บข้อมูลส่วนบุคคลใดๆ
1.1 Lending & Borrowing
Aave, Compound ให้คุณสามารถกู้ยืมหรือฝากโทเค็นได้ตลอดเวลา
Oasis - สามารถแลกเปลี่ยนโทเค็นของคุณเป็น ETH Stablecoin ได้คือ DAI
1.2 Token Swaps
Uniswap - สามารถแลกเปลี่ยนเหรียญได้ง่ายๆโดยได้ % Reward ตอบแทน
Matcha - เปรียบเทียบ DEX หลายเจ้าเพื่อให้ได้เรทที่ดีที่สุด
1inch - เสนอ Slippage ที่ต่ำที่สุดให้แก่คุณ
1.3 Trading & Prediction
Polymaker, Augur - แพลตฟอร์มพนันราคาเหรียญ
dYdX - เปิด Leverage position ได้มากถึง x10 ของปัจจุบัน
2. Art&Collectibles
โปรเจ็กต์ที่เน้นในการสร้าง Digital ownership ให้ความเป็นเจ้าของแก่ Creator และเพิ่มพลังให้แก่นักสะสมงานดิจิตอล
2.1 Digital Collectibles
Opensea, Rarible, CryptoPunk - ซื้อ ขาย เก็บสะสมงานดิจิตอลของตนเอง
2.2 Music
Audius - แพลตฟอร์มฟังเพลงแบบ Decentralized เงินจะถูกส่งให้แก่ศิลปินโดยตรงผ่านการฟัง
3. Decentralized Gaming
เกมในยุค Web3.0 ผู้คนจะสามารถครอบครองทรัพย์สินในเกมได้อย่างแท้จริง
3.1 Decentraland - แพลตฟอร์มโลกเสมือน
3.2 Axie Infinity - ใช้มอนสเตอร์ต่อสู้กัน ซื้อขายตัวละครกันบน Blockchain
4. Decentralized Technology
สิ่งประดิษฐ์ต่างๆที่ถูกสร้างมาบน Web2 จะถูกนำมาใช้บน Web3 มากยิ่งขึ้นผ่านกาลเวลา
4.1 Utility - ENS (Ethereum Name Service) ผู้คนจะสามารถตั้งชื่อ Domain ตัวเองกันได้ในเชนของ Ethereum
ข้อดีของ Ethereum และโอกาสในอนาคต
1. Usecase มากที่สุด
Ethereum ก่อตั้งตั้งแต่ปี 2017 ทำให้มันมีแอพริเคชั่นหลากหลายและถูกสร้างมานานบน Platform นี้ มี DApps มากมายซึ่งเน้นไปที่ DeFi และ NFT ทำให้มันกลายเป็นแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือตามกาลเวลา
2. Decentralized มากที่สุด
ในขณะที่มันนั้นแพงมากที่สุด มันก็เป็น Blockchain ที่มีความกระจายศูนย์มากที่สุดเช่นกัน สำหรับ Blockchain แล้วยิ่งมี Node มากเท่าไหร่ ความปลอดภัยก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น (เพราะทำการโจมตี 51% Attack ได้ยากมากขึ้น)
3. ETH 2.0 กำลังจะมา
ETH 2.0 คือระบบ Sharding และระบบ Staking ที่จะมาใช้เป็น POS แทนระบบฉันทามติแบบเดิม POW ซึ่งระบบฉันทามติแบบ POS จะสามารถแก้ไขปัญหา Congestion และประหยัดพลังงานมากกว่าเดิม ซึ่งจะส่งผลให้ ETH มีมูลค่าที่สูงขึ้นในอนาคตนั่นเอง
ข้อเสียและความเสี่ยงของ Ethereum
1. Ethereum มีปัญหาด้านการ Scaling
Ethereum เนื่องจากว่ามีการใช้ระบบ POW ซึ่งสามารถรับจำนวน Transaction ได้เพียง 1,500 - 2,000 Transaction/ 10 นาที เท่านั้น ในขณะที่มันมีจำนวน Transaction มากถึง 1 ล้าน Ts ต่อวัน ซึ่งทำให้ผู้ที่รับต้องการใช้งานจะต้องใส่ค่า Gas เข้าไปเพิ่ม ในขณะที่มีคนเก็งกำไร Ethereum กันอยู่มาก ก็จะทำให้ Ether นั้นดูให้ผลตอบแทนไม่คุ้มกับรายย่อยเท่าไหร่ ยิ่งมันโตมากเท่าไหร่ มันก็จะคุ้มค่าแค่กับรายใหญ่อย่างเดียว
2. Solidity ภาษาเดียวของ Ethereum
ปัญหาของวงการ Blockchain คือแต่ละ Chain นั้นใช้ภาษาที่ต่างกันออกไป ทำให้ผู้ที่เริ่มต้นจาก Chain อื่นก็อาจจะชินกับภาษานั้นๆ ทำให้นักพัฒนาใหม่ๆเข้ามาทำธุรกิจใน Ethereum ได้ยากลำบาก
3. Smartcontract ไม่ได้มีแค่เจ้าเดียวอีกต่อไป
ปัจจุบันนี้ผู้ที่สามารถเสนอ Smart Contract ได้มีจำนวนมากมายไม่ว่าจะเป็น Cardano, BSC, Tezos, EOS, Polkadot, Chainlink เมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนก็อยากที่จะเข้ามาอยู่ในตลาดนี้มากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานและนักพัฒนามีทางเลือกมากขึ้นในการเลือก Platform ลงทุน
4.Ethereum ไม่มี Max Cap
เนื่องจาก ETH ใช้ระบบ Deflationary ด้วยการ Burn ทิ้งทุกๆปี มูลค่าของมันจึงจะถูกสะท้อนจาก Demand/Supply เท่านั้น ไม่มีคำว่าจำกัด ฉะนั้นแล้วการถือ ETH อาจจะไม่ได้หมายความว่ามันจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเหมือนเหรียญที่มีจำนวณจำกัดอื่นๆ
ประเภทอื่นๆ ของ Ethereum: ETH classic vs ETH 2.0
▲ ETH classic
ทุกคนอาจจะสงสัยกันว่าอะไรคือ Ethereum classic (ETC) ? มันคือ Blockchain ที่แยกออกมาจาก Ethereum เมื่อเกิดเหตุการโดนแฮ็คครั้งใหญ่ในปี 2016, แรกสุด Ethereum นั้นถูกสร้างขึ้นในปี 2015 แต่เมื่อมันถูกแฮ็คในปี 2016 ราว $60 ล้าน
คนใน Community จึงทำการ ‘Hard Fork’ Ethereum ขึ้นมาอีก Chain นึงและตั้งชื่อว่า ‘Ethereum Classic’ โดยมีกฎปฎิญาณว่า ‘Code is law’ คือ Code นั้นไม่ควรที่จะแก้ได้ ซึ่งจะต่างจากความตั้งใจของ Ethereum ในปัจจุบันที่มันสามารถแก้ได้หาก DAO ต้องการให้แก้มัน
ETH Classic ยังคงใช้ระบบ PoW อยู่ ทั้งสองเหรียญต่างมีคอนเซ็ปในการเป็น Platform สำหรับ DApps เช่นกัน แม้ว่าสุดท้ายแล้ว ETC จะทำผลงานได้ต่างจาก ETH ปัจจุบันราคาการเทรดกันของ ETC อยู่ที่ $26 ในขณะที่ ETH อยู่ที่ $2,800. ETC มี Supply ที่จำกัด แต่ ETH นั้นไม่จำกัด
▲ ETH 2.0
ETH Protocol ที่ถูกใช้ตั้งแต่ปี 2015 ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในปัจจุบัน แต่เมื่อมีคนใช้เยอะมากขึ้น มี Transaction เยอะมากขึ้นก็ทำให้ประสบปัญหาใหม่ๆอย่างเรื่อง Disk Space ที่ใช้มากขึ้น, Proof-of-work ที่ต้องใช้ไฟฟ้ามากขึ้น การ์ดจอรุ่นใหม่มากขึ้น และผู้ทำให้ราคาของ Ether นั้นสูงขึ้นจนรายย่อยยากลำบากในการใช้
Ethereum จึงจัดตั้งการอัพกรด ETH2.0 ขึ้นเพื่อเพิ่มขีดจำกัดการ ‘Scaling’, ‘Secure’ และ ‘Sustainable’ เพื่อให้ User ในปัจจุบันได้ใช้ ETH ในแบบที่ดีในราคาที่ถูกลง
โดยจะแก้ปัญหา 2 ประการดังต่อไปนี้
Scalability
Ethereum จำเป็นต้องสามารถจัดการธุรกรรมได้มากขึ้นต่อวินาทีโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดของโหนดในเครือข่าย โหนดคือผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่สำคัญซึ่งจัดเก็บและเรียกใช้บล็อกเชน การเพิ่มขนาดโหนดนั้นไม่สามารถทำได้จริง เนื่องจากมีเพียงผู้ที่มีคอมพิวเตอร์ราคาแพงและทรงพลังเท่านั้นที่ทำได้ ในการปรับขนาด Ethereum ต้องการธุรกรรมเพิ่มเติมต่อวินาที ควบคู่ไปกับโหนดที่มากขึ้น โหนดที่มากขึ้นหมายถึงความปลอดภัยที่มากขึ้น
การอัพเกรด ’ชาร์ด’ เชนจะกระจายโหลดของเครือข่ายไปยัง 64 เชนใหม่ สิ่งนี้จะทำให้ Ethereum มีช่องว่างโดยลดความแออัดและปรับปรุงความเร็วเกินขีดจำกัด 15-45 ธุรกรรมต่อวินาทีในปัจจุบัน ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซ่ชาร์ด
และถึงแม้ว่าจะมีเชนจำนวนมากขึ้น แต่ก็ต้องการงานน้อยลงจากผู้ตรวจสอบความถูกต้อง - ผู้ดูแลเครือข่าย ผู้ตรวจสอบความถูกต้องจะต้อง 'เรียกใช้' ชาร์ดของพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่เชน Ethereum ทั้งหมด สิ่งนี้ทำให้โหนดมีน้ำหนักเบาขึ้น ทำให้ Ethereum สามารถปรับขนาดและคงการกระจายอำนาจได้
Security
การอัพเกรดที่วางแผนไว้จะช่วยปรับปรุงความปลอดภัยของ Ethereum จากการโจมตีแบบประสานกัน เช่น การโจมตี 51% นี่เป็นการโจมตีประเภทหนึ่งที่หากมีผู้ควบคุมเครือข่ายส่วนใหญ่ พวกเขาสามารถบังคับผ่านการเปลี่ยนแปลงที่เป็นการฉ้อโกงได้
การเปลี่ยนไปใช้ proof-of-stake หมายความว่าโปรโตคอล Ethereum นั้นไม่สนับสนุนการโจมตี เนื่องจากใน proof-of-stake ผู้ตรวจสอบความถูกต้องที่รักษาความปลอดภัยเครือข่ายจะต้องเดิมพัน ETH จำนวนมากในโปรโตคอล หากพวกเขาพยายามโจมตีเครือข่าย โปรโตคอลสามารถทำลาย ETH ได้โดยอัตโนมัติ
การเปลี่ยนมาเป็น Staking ยังหมายความว่าคุณไม่จำเป็นต้องลงทุนในฮาร์ดแวร์ชั้นยอดเพื่อ 'เรียกใช้' โหนด Ethereum สิ่งนี้ควรส่งเสริมให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นเป็นผู้ตรวจสอบ เพิ่มการกระจายอำนาจของเครือข่าย และลดโอกาสที่จะถูกโจมตีอีกด้วย
Ethereum vs. Bitcoin ต่างกันอย่างไร
ทั้ง 2 ต่างล้วนเป็น Cryptocurrency เช่นเดียวกัน แต่ Ethereum และ Bitcoin นั้นถูกสร้างขึ้นมาใน ‘คนละจุดประสงค์กัน’ เราจะแสดงความแตกต่างของทั้ง 2 เหรียญให้ได้ฟังกัน
1. Bitcoin นั้นสร้างมาเป็น Digital gold แต่ Ethereum เป็น Gas สำหรับ DApps
Bitcoin และ Ethereum นั้นต่างกันในส่วนของพื้นฐาน Bitcoin เน้นไปทางเป็นทองคำแห่งดิจิตอลเพื่อนำมาใช้แทนเงินดอลล่าร์ในปัจจุบัน ในขณะที่ Ethereum นั้นเป็นเสมือน Token ที่ใช้สำหรับการจ่ายธุรกรรมในแอพของ Ethereum เช่น เหล่า DeFi ต่างๆ โดย Ethereum นั้นจะเน้นไปที่ Smartcontract ซึ่งจะแตกต่างจาก Bitcoin ที่เน้นใช้ได้ฟีเจอร์เดียว
2. Consensus Mechanism
BTC นั้นใช้ระบบ POW ในการตรวจสอบธุรกรรมในขณะที่ ETH นั้นใช้ระบบ POS ในการ Upgrade ที่กำลังจะถึงนี้ การใช้ระบบ POW นั้นมีข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือมันมีค่าใช้จ่ายมากในการเป็น Node และใช้ต้นทุนสูงเหมาะกับการขุด BTC จริงๆ (คุณค่าของ BTC จึง = ค่าไฟ) เมื่อเทียบกับ POS ที่ต้นทุนต่ำ ประหยัดค่าใช้จ่าย
จะลงทุนใน Ethereum ต้องทำอย่างไร? ยังน่าลงทุนหรือไม่
ในขณะที่ตลาดสกุลเงินดิจิทัลถดถอยในปี 2018 และ 2019 จากจุดสูงสุดในเดือนธันวาคม 2017 และต่อมาก็กลับมาทำจุดสูงสุดใหม่จนถึงปี 2021 แม้ว่าตอนนี้จะกลับไปอยู่ในช่วงตลาดหมีดังเดิมก็ตาม แต่ด้วยความสามารถของเครือข่ายอีเธอเรียมที่มอบโอกาสให้กับนักพัฒนาและนักลงทุนได้อย่างมาก ด้วยเหตุผลนี้จึงมีนักวิเคราะห์หลายคนให้ความเห็นว่าในอนาคตอีเธอเรียมอาจมีแนวโน้มมากกว่าบิทคอยน์เพราะเป็นเครือข่ายที่ได้รับการสนับสนุนจากหลายภาคส่วน ทั้งบริษัทและสถาบันการเงินชั้นนำระดับโลก หากคุณพร้อมที่จะเริ่มต้นการลงทุนกับอีเธอเรียมนี้คุณจะพบว่าการลงทุนใน Ethereum อาจง่ายกว่าที่คุณคิดโดยสามารถทำได้ดังต่อไปนี้
1. เลือกแพลตฟอร์มสำหรับการเทรด ETH
เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการซื้อขายใด ๆ สิ่งสำคัญคือต้องเลือกแพลตฟอร์มการเทรด ETH ตรงตามความต้องการของคุณ โดยสามารถเลือกได้จากแพลตฟอร์มที่มีการรับรองและกำกับดูแลอย่างถูกต้อง, ความปลอดภัย รวมทั้งความรวดเร็วในการชำระเงิน
2. สร้างบัญชี
เมื่อคุณตัดสินใจเลือกแพลตฟอร์มการซื้อขายที่เหมาะกับความต้องการของคุณแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือเริ่มต้นเปิดบัญชีของคุณโดยการระบุข้อมูลส่วนตัวของคุณตามความจริงและทำการส่งเอกสารยืนยันตน
3. ฝากเงิน
นอกจากที่คุณจะสามารถฝึกฝนการเทรดผ่านบัญชีทดลองแล้ว ยังสามารถทำการเทรดด้วยเงินจริงด้วยการฝากเงินในพอร์ตของคุณ
4. เทรดหรือซื้อเก็บอีเธอเรียม
คุณสามารถเลือกที่จะเทรดหรือเก็บอีเธอเรียมได้ หากคุณต้องการเทรดสามารถไปยังหน้ากระดานเทรจากเพื่อเลือก ETH และตัดสินใจในการซื้อหรือขายได้ ในขณะเดียวกันคุณยังสามารถเลือกซื้อเหรียญจากศูนย์แลกเปลี่ยนเพื่อเก็งกำไรในอนาคตและขายได้
ในกรณีส่วนใหญ่หลายคนอาจเลือกลงทุนด้วยการเก็บอีเธอเรียมเพื่อรอให้ราคาขึ้นและจึงขาย ดังนั้น สำหรับผู้ที่เลือกการลงทุนด้วยวิธีนี้สามารถเก็บเหรียญของคุณในในกระเป๋าร้อนที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตหรือกระเป๋าเงินเย็นเป็นอุปกรณ์ภายนอกที่ถูกตัดการเชื่อมต่อจากอินเทอร์เน็ตโดยสิ้นเชิงได้
วิธีการขุดอีเธอเรียม
คุณสามารถทำการขุด Ethereum ได้ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 1: เลือกพูลการขุด
สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือการเข้าร่วมพูลการขุด เพราะการใช้พูลการขุดหมายถึงคุณกำลังแบ่งปันทรัพยากรซึ่งช่วยลดต้นทุนในการใช้งานแท่นขุด ขึ้นอยู่กับคุณภาพและโครงสร้างของกลุ่มการขุด โอกาสในการค้นหาบล็อกจะดีขึ้นอย่างมาก แหล่งขุดที่ดีที่สุดเช่น Ethermine เนื่องจากเป็นกลุ่มการขุดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น การขุดแบบไม่เปิดเผยตัวตน รูปแบบการจ่ายเงิน PPLNS แบบเรียลไทม์ และค่าธรรมเนียมต่ำเพียง 1% เท่านั้น
ขั้นตอนที่ 2: สร้างกระเป๋าเงินดิจิทัล
คุณจะต้องสร้างกระเป๋าเงินคริปโตเพื่อจัดเก็บ ETH ของคุณ หากคุณยังไม่มี คุณสามารถเลือกกระเป๋าสตางค์ซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ได้ขึ้นอยู่กับความสะดวกสบายของคุณ สิ่งสำคัญสำหรับการเลือกกระเป๋าเงินก็คือต้องเลือกแหล่งเก็บที่ปลอดภัยและอย่าลืมจดบันทึกรหัสผ่านทั้งหมดในที่ที่ปลอดภัยและคุณสามารถค้นหาเจอได้ง่าย
ขั้นตอนที่ 3: เลือกซอฟต์แวร์การขุด
ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกซอฟต์แวร์การขุด ตัวอย่างซอฟท์แวร์เช่น EasyMiner Ethminer สำหรับ Ethminer เป็นหนึ่งในซอฟท์แวร์ลำดับต้น ๆ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดโดยคุณสามารถดาวน์โหลดได้จากGithub
ขั้นตอนที่ 4: การสร้างไฟล์ BAT
หากต้องการเริ่มกระบวนการขุด คุณต้องสร้างไฟล์ BAT สำหรับการสร้างไฟล์ที่ ETHminer ให้การตั้งค่าเริ่มต้นที่ทำงานได้ดีกับหน่วยประมวลผลกราฟิกส่วนใหญ่ ไปข้างหน้าและใช้การตั้งค่านั้น เริ่มต้นด้วยการคัดลอกจากเว็บไซต์ นำทางไปยังไดเร็กทอรีที่คุณดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ Ethminer ที่มาจาก Github สร้างเอกสารข้อความใหม่โดยคลิกขวาที่ไดเร็กทอรี> ใหม่> เอกสารข้อความ ตั้งชื่อไฟล์แล้วคลิก “ใช่” ในข้อความแจ้งที่ปรากฏขึ้น
จากนั้นคลิกขวาที่ไฟล์แล้วเลือก "แก้ไข" วางข้อมูลที่คัดลอกไว้ข้างต้นจากไซต์ลงในไฟล์แบตช์ จากนั้นเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้กับตำแหน่งของคุณมากที่สุดพร้อมกับเซิร์ฟเวอร์สำรอง จากนั้นให้คุณคัดลอกข้อมูลตามที่แสดงด้านบนจากไซต์และวางลงในไฟล์ BAT ดังที่แสดงด้านล่าง จากนั้น ป้อน ที่อยู่ Ethereum Wallet ที่คุณได้รับค่าธรรมเนียมการขุด ตามด้วยจุดและชื่อเครื่องขุดของคุณ บันทึกไฟล์และรันไฟล์แบตช์เพื่อเริ่มการขุด
ขั้นตอนที่ 5: เริ่มกระบวนการขุด
เมื่อคุณรันไฟล์แบตช์เพื่อเริ่มการขุดซึ่งจะใช้เวลาประมาณสองนาที เมื่อคุณเห็นอัตราแฮชปรากฏบนคอนโซลแล้วก็หมายความว่ากระบวนการได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
วิธีเทรดอีเธอเรียมกับสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ
โดยทั่วไปแล้วการเทรดอีเธอเรียมสามารถทำได้ 2 วิธีได้แก่ การซื้อจากศูนย์แลกเปลี่ยนโดยตรงโดยที่คุณจะเป็นเจ้าของเหรียญนั้นที่ถือเป็นการลงทุนระยะยาว และทันทีที่ราคาของอีเรียมเป็นไปตามที่คุณต้องการก็สามารถขายได้ อีกวิธีหนึ่งคือสามารถซื้อขายสัญญาส่วนต่าง (CFD) กับสกุลเงินดิจิทัลใดสกุลเงินหนึ่ง และเก็งกำไรส่วนต่างของราคาได้
สำหรับ CFD คือเครื่องมือทางการเงิน ซึ่งเป็นสัญญาโดยทั่วไประหว่างโบรกเกอร์และนักลงทุน โดยฝ่ายหนึ่งตกลงที่จะจ่ายส่วนต่างของมูลค่าหลักทรัพย์ให้อีกฝ่าย ระหว่างการเปิดและปิดการซื้อขาย คุณสามารถถือสถานะซื้อเพื่อเก็งกำไรว่าราคาจะสูงขึ้นหรือสถานะขายเพื่อเก็งกำไรว่าราคาจะลดลงได้
อีเธอเรียมคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่?
เมื่อมาถึงคำถามที่ว่า Ethereum ยังเป็นการลงทุนที่ดีหรือไม่? ก็อาจตอบได้ว่าอีเธอเรียมเป็นสกุลเงินคริปโตอื่น ๆ ที่หมายความส่าการซื้อ ETH มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากราคาของ ETH มีความผันผวนสูงและสามารถลดลงอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม Ethereum ก็ยังมีข้อดีที่สำคัญเช่นกัน ตัวอย่างเช่นเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับจากชุมชนนักพัฒนาที่กว้างขวาง รวมทั้งยังมีแอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจ (dApps) มากกว่า 4,300 รายการบน Ethereum โดยมีแอปพลิเคชันใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในแต่ละสัปดาห์
ท้ายที่สุดแล้ว การตัดสินใจว่าตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่จะซื้อ Ethereum หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการยอมรับความเสี่ยงส่วนบุคคลของนักลงทุนแต่ละรายและความเชื่อในศักยภาพในระยะยาวของเครือข่ายนี้
จากที่กล่าวมาทั้งหมด ก็คือ ข้อมูลเกี่ยวกับ ETH หรือ Ethereum หนึ่งในสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของตลาด เป็นรองจากบิทคอยน์เท่านั้น วัตถุประสงค์ในการเขียนบทความนี้ขึ้นมา ทางเราต้องแชร์ความรู้ให้กับทุกคนเพียงนั้น ไม่ได้เป็นการชักชวนให้ลงทุนแต่อย่างใด เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูงมีความเสี่ยงสูงเป็นอย่างมาก ดังนั้นนักลงทุนทุกท่านจำเป็นที่ต้องศึกษารายละเอียดให้ดีการลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงในการลงทุนนัานเอง จะดีกว่าถ้าคุณฝึกฝนการซื้อขาย Ethereum ก่อน เราขอแนะนำให้คุณลองใช้บัญชีทดลองของ Mitrade เนื่องจากมันเสนอเงินเสมือนให้คุณ $50,000 สำหรับการฝึกฝนโดยไม่มีข้อกำหนดใดๆ สิ่งที่คุณต้องทำคือลงทะเบียนและเริ่มต้นใช้งาน
Smart Contract คืออะไร
DAPP คืออะ ไร
Gas คืออะไร
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน