การลงทุนในทองคำกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น หรือนักลงทุนที่มีประสบการณ์มายาวนาน ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีเสน่ห์และมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจ บทความนี้ จะตอบคำถามว่า ซื้อทองเก็งกำไรได้ยังไง และแนะนำ 3 วิธีซื้อทองเก็งกำไรในปี 2568
แนะนำ 3 วิธีซื้อทองเก็งกำไร 2568
1.การซื้อทองคำแท่งเพื่อเก็งกำไร: วิธีดั้งเดิมที่ยังคงความนิยม
การซื้อทองคำแท่งก็ยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการถือทองคำจริง อย่างไรก็ดี การซื้อทองคำแท่งยังมีข้อจำกัดในแง่ของการตรวจสอบคุณภาพทำให้ต้องซื้อและขายกับร้านทองเจ้าเดียวกัน การลงทุนรูปแบบนี้จึงเหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวมากกว่าการเก็งกำไรระยะสั้น เนื่องจากมีต้นทุนในการทำธุรกรรมที่ค่อนข้างสูง
2.การเทรดฟิวเจอร์สทองคำ (Gold Futures): ทางเลือกสำหรับนักลงทุนมืออาชีพ
สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า หรือ Gold Futures เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่น่าสนใจสำหรับการเก็งกำไรในตลาดทองคำ โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความยืดหยุ่นในการบริหารพอร์ตการลงทุนและมีความเข้าใจในตลาดอนุพันธ์เป็นอย่างดี
ข้อดีของการเทรด Gold Futures คือ การมีต้นทุนธุรกรรมที่ต่ำกว่าการซื้อขายทองคำจริง และมีสภาพคล่องสูง นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ เงินประกัน (Margin) เพียงส่วนน้อยในการซื้อทองคำมูลค่าสูง ทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่า อย่างไรก็ตาม การใช้เงินประกันน้อยก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน หากราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงข้ามกับที่คาดการณ์ไว้
3.การเทรดทองคำผ่านระบบ CFD: ทางเลือกหลักสำหรับนักลงทุนยุคดิจิทัล
CFD หรือ Contract for Difference คือสัญญาซื้อขายส่วนต่างราคาทองคำ ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้จากการเคลื่อนไหวของราคา โดยไม่จำเป็นต้องถือครองทองคำจริง วิธีนี้มีข้อได้เปรียบหลายอย่างเมื่อเทียบกับการลงทุนในทองคำแบบดั้งเดิม
เมื่อเราเทรด CFD ทองคำ เราเพียงแค่คาดการณ์ว่าราคาทองคำจะขึ้นหรือลง หากเราคาดการณ์ถูก เราก็จะได้กำไรจากส่วนต่างของราคา ตัวอย่างเช่น หากเราคิดว่าราคาทองคำจะปรับตัวสูงขึ้น เราสามารถเปิดสถานะซื้อ (Long Position) ที่ราคา 40,000 บาทต่อบาททอง เมื่อราคาปรับตัวขึ้นไปที่ 40,500 บาท เราก็สามารถปิดสถานะเพื่อทำกำไร 500 บาทต่อบาททองได้ทันที
ข้อดีที่สำคัญของการเทรด CFD ทองคำ คือการใช้ระบบเลเวอเรจ (Leverage) หรือการใช้เงินทุนที่มีอยู่เพื่อซื้อสัญญาทองคำในปริมาณที่มากกว่า เช่น หากเราวางเงินประกัน (Margin) 10,000 บาท และโบรกเกอร์ให้เลเวอเรจ 1:100 เราจะสามารถซื้อสัญญาทองคำที่มีมูลค่าถึง 1,000,000 บาทได้ ทำให้เราสามารถทำกำไรได้มากขึ้นจากการเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม การใช้เลเวอเรจก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน เพราะนอกจากจะสามารถทำกำไรได้มากขึ้นแล้ว เรายังสามารถขาดทุนได้มากขึ้นด้วย ดังนั้น การบริหารความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการเทรด CFD
นอกจากนี้ การซื้อขายทองคำ CFD ยังสามารถซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน ตลอด 5 วันทำการใน 1 สัปดาห์ และด้วยความสะดวกในการเปิดบัญชีที่รวดเร็วเช่นกับ Mitrade ที่ทั้งฟรี ง่าย และรวดเร็ว เพียงแค่ลงทะเบียนและยืนยันตัวตนผ่านออนไลน์ นอกจากนี้ ยังมีขั้นต่ำในการฝากเงินแค่ $50 เท่านั้น ทำให้การเทรดทองคำผ่าน CFD จึงเป็นเรื่องที่ง่ายมาก
ฝึกฝนเทรดทอง CFD กับ Mitrade 👇️👇️👇️
ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำ
การเข้าใจปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการซื้อทองเก็งกำไร เนื่องจากเราต้องคาดการณ์ทิศทางของราคาให้แม่นยำเพื่อทำกำไร โดยในยุคดิจิทัล ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำมีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกันมากขึ้น
ปัจจัยพื้นฐานระดับมหภาค
ในโลกยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างเชื่อมโยงถึงกัน นโยบายการเงินของธนาคารกลางประเทศต่างๆ โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) มีอิทธิพลอย่างมากต่อราคาทองคำ เมื่อธนาคารกลางปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย มักส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลดลง เนื่องจากต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำเพิ่มสูงขึ้น นักลงทุนอาจหันไปถือครองสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยแทน
แหล่งที่มา: kelseywilliamsgold
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือในช่วงปี 2565-2566 ที่ธนาคารกลางสหรัฐปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ ส่งผลให้ราคาทองคำมีความผันผวนอย่างมาก ผู้ที่เก็งกำไรในทองคำ โดยเฉพาะผู้ที่เทรด CFD ทองคำในช่วงเวลาดังกล่าวต้องติดตามการประชุมและการแถลงของธนาคารกลางอย่างใกล้ชิด เพื่อคาดการณ์ทิศทางของนโยบายการเงินและวางแผนการเทรดให้สอดคล้องกัน
ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์
ความขัดแย้งระหว่างประเทศและความไม่แน่นอนทางการเมืองมีผลอย่างมากต่อราคาทองคำ เนื่องจากทองคำถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-haven Asset) ที่นักลงทุนมักหันไปถือครองในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน เราจะเห็นได้ว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่สร้างความไม่แน่นอนในระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นสงคราม การก่อการร้าย หรือวิกฤตการเมือง ราคาทองคำมักจะปรับตัวสูงขึ้น
การรับรู้ข่าวสารเป็นไปอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ส่งผลให้ราคาทองคำตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆ อย่างฉับไว ผู้ที่เก็งกำไรทองคำจึงต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดและพร้อมปรับกลยุทธ์การลงทุนตลอดเวลา การใช้แอพพลิเคชันข่าวสารการเงินและการตั้งการแจ้งเตือนสำหรับข่าวสำคัญจึงเป็นเครื่องมือจำเป็นสำหรับเทรดเดอร์ในยุคนี้
สภาพเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ
อัตราเงินเฟ้อเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาทองคำ โดยทั่วไปแล้ว เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น นักลงทุนมักจะหันมาลงทุนในทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการเสื่อมค่าของเงิน เนื่องจากทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าในตัวเอง และมีปริมาณจำกัดในธรรมชาติ
ในทางกลับกัน นโยบายการเงินของธนาคารกลางประเทศต่างๆ โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ ก็มีผลต่อราคาทองคำเช่นกัน เมื่อธนาคารกลางดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด เช่น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย มักจะส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลดลง เนื่องจากต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำสูงขึ้น
การเชื่อมโยงกับตลาดการเงินโลก
ในยุคที่ตลาดการเงินเชื่อมโยงกันทั่วโลก การเคลื่อนไหวของราคาทองคำมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดหุ้น พันธบัตร และค่าเงิน เมื่อตลาดหุ้นผันผวนหรือมีแนวโน้มขาลง นักลงทุนมักจะย้ายเงินมาลงทุนในทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยง ทำให้ราคาทองคำมักจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับตลาดหุ้น
การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตลาดเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการซื้อทองเก็งกำไร เพราะการเปลี่ยนแปลงในตลาดหนึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาทองคำได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดวิกฤตในตลาดหุ้น เราอาจเห็นเม็ดเงินไหลเข้าสู่ตลาดทองคำอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นในระยะสั้น
เคล็ดลับสำหรับการซื้อทองคำเก็งกำไร
การซื้อทองเก็งกำไรให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยทั้งความรู้ ประสบการณ์ รวมถึงระบบการเทรดที่มีประสิทธิภาพ นักลงทุนมืออาชีพมักจะใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เพื่อหาจังหวะในการเข้าและออกจากตลาดที่เหมาะสม
การวางแผนการลงทุนอย่างเป็นระบบ
การลงทุนในทองคำที่ประสบความสำเร็จเริ่มต้นจากการมีแผนการลงทุนที่ชัดเจน เปรียบเสมือนการเดินทางที่ต้องมีแผนที่และจุดหมายปลายทาง นักลงทุนควรกำหนดเป้าหมายผลตอบแทนที่ต้องการและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ไว้ล่วงหน้า การกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) และจุดทำกำไร (Take Profit) เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยควบคุมความเสี่ยงและป้องกันการตัดสินใจด้วยอารมณ์
ในการวางแผนการลงทุน นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยสำคัญหลายประการ เช่น เงินทุนที่มี ระยะเวลาที่สามารถลงทุนได้ และความสามารถในการติดตามตลาด การแบ่งเงินลงทุนออกเป็นส่วนๆ และทยอยลงทุน จะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาได้ดีกว่าการลงทุนครั้งเดียวทั้งหมด
การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค
การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นเครื่องมือ โดยเฉพาะหากคุณเป็นเป็นนักลงทุนที่ซื้อทองเก็งกำไรผ่านการเทรด CFD การวิเคราะห์ทางเทคนิคก็มีหลายรูปแบบ แต่ที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพคือการใช้แนวรับแนวต้าน (Support and Resistance) ร่วมกับเครื่องมือวัดแนวโน้มอย่างเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (EMA) เมื่อราคาทองคำเคลื่อนที่เข้าใกล้แนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ มักจะเกิดการกลับตัวของราคา ทำให้เป็นจุดที่เหมาะสมสำหรับการเปิดสถานะซื้อหรือขาย
หรือโดยทั่วไปแล้ว เทรดเดอร์มักใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองเส้นที่มีระยะเวลาต่างกัน เช่น 20 วันและ 50 วัน เมื่อเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นตัดขึ้นผ่านเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว (Golden Cross) มักเป็นสัญญาณว่าราคามีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นตัดลงผ่านเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว (Death Cross) มักเป็นสัญญาณว่าราคามีแนวโน้มจะปรับตัวลดลง
แหล่งที่มา: Tradingview
Relative Strength Index หรือ RSI ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่มีประโยชน์มากในการเทรด CFD ทองคำ RSI จะช่วยบ่งชี้ว่าราคาทองคำอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) หรือไม่ โดยทั่วไปแล้ว เมื่อค่า RSI สูงกว่า 70 จะถือว่าราคาอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป อาจเป็นจังหวะที่ดีในการขาย ในทางกลับกัน เมื่อค่า RSI ต่ำกว่า 30 จะถือว่าราคาอยู่ในภาวะขายมากเกินไป อาจเป็นจังหวะที่ดีในการซื้อ
อย่างไรก็ตาม การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การผสมผสานการวิเคราะห์ทางเทคนิคเข้ากับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและการติดตามข่าวสารที่สำคัญจะช่วยให้การตัดสินใจเทรดมีประสิทธิภาพมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น แม้ว่าเครื่องมือทางเทคนิคจะส่งสัญญาณให้ซื้อ แต่หากมีข่าวสำคัญที่อาจส่งผลลบต่อราคาทองคำกำลังจะประกาศออกมา การรอดูผลกระทบจากข่าวก่อนตัดสินใจเทรดอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
การบริหารจัดการความเสี่ยง
การบริหารความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญของการลงทุนที่ยั่งยืน โดยเฉพาะในตลาดทองคำที่มีความผันผวนสูง นักลงทุนควรกำหนดกฎเกณฑ์ในการบริหารความเสี่ยงที่ชัดเจนและยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด หลักการสำคัญประการหนึ่งคือ ไม่ควรลงทุนเกินกว่า 5-10% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมดในการเก็งกำไรระยะสั้น
นอกจากนี้ การกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ นอกเหนือจากทองคำ จะช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตการลงทุน เพราะสินทรัพย์แต่ละประเภทมักจะมีการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่สัมพันธ์กันโดยตรง
บทความที่คุณอาจจะสนใจด้วย >> |
ควรเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินเท่าไร?
คำถามนี้เป็นหนึ่งในคำถามที่พบบ่อยที่สุด คำตอบที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่หลักการสำคัญคือควรเริ่มต้นด้วยเงินที่เราพร้อมจะสูญเสียได้โดยไม่กระทบกับการดำเนินชีวิต สำหรับการเทรด CFD ทองคำ การเริ่มต้นด้วยเงิน 5,000 - 10,000 บาทถือว่าเหมาะสม เพราะจะทำให้เรามีเงินทุนเพียงพอที่จะรองรับการขาดทุนในช่วงเรียนรู้ และสามารถใช้ระบบบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เลเวอเรจที่เหมาะสมควรอยู่ที่เท่าไร?
การเลือกใช้เลเวอเรจที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญมาก แม้ว่าโบรกเกอร์อาจเสนอเลเวอเรจสูงถึง 1:100 หรือมากกว่า แต่สำหรับผู้เริ่มต้น การใช้เลเวอเรจไม่เกิน 1:20 ถือว่าปลอดภัยและเหมาะสม เพราะจะช่วยให้เราสามารถทนต่อความผันผวนของราคาได้ดีขึ้น และมีเวลาพอที่จะตัดสินใจเมื่อตลาดเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงข้ามกับที่เราคาดการณ์
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
