ซื้อทองเก็บไว้ดีไหม 2568? วิเคราะห์เจาะลึกทุกปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทอง

ท่ามกลางความผันผวนของตลาดการเงินโลกและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2567 ที่ราคาทองได้พุ่งทะยานสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ บทความนี้ เราจะวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาทอง พร้อมตอบคำถามว่าซื้อทองเก็บไว้ดีไหม

ในช่วงที่ผ่านมา ราคาทองได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยราคาได้พุ่งทะยานสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,790 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในเดือนตุลาคม 2567 โดยมีปัจจัยสำคัญหลายประการที่ส่งผลให้ราคาทองปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่

ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์

สถานการณ์ความขัดแย้งทั่วโลกเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันราคาทอง โดยเฉพาะสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ และความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ทำให้นักลงทุนแสวงหาสินทรัพย์ปลอดภัย นอกจากนี้ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ ยังเพิ่มแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์หลบภัย

การซื้อทองคำของธนาคารกลาง

ธนาคารกลางทั่วโลกได้เพิ่มการสะสมทองคำอย่างมีนัยสำคัญ โดยในไตรมาสแรกของปี 2567 มีการซื้อทองคำสุทธิถึง 290 ตัน สูงกว่าค่าเฉลี่ยรายไตรมาสถึง 36% โดยมีจีน อินเดีย และตุรกีเป็นผู้ซื้อรายใหญ่

แหล่งที่มา: worldbank

นโยบายอัตราดอกเบี้ย

การคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2567 ส่งผลบวกต่อราคาทอง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงมักทำให้ทองคำซึ่งไม่ให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยมีความน่าสนใจมากขึ้น

ปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค

ความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ และความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์ ทำให้นักลงทุนหันมาถือครองทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง นอกจากนี้ แนวโน้มเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงก็เป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนราคาทอง

การวิเคราะห์แนวโน้มราคาทองคำในอนาคตจำเป็นต้องพิจารณาทั้งปัจจัยพื้นฐานและการวิเคราะห์ทางเทคนิคควบคู่กันไปเพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนและครบถ้วน

ปัจจัยพื้นฐาน

การเข้าซื้อของธนาคารกลางทั่วโลกถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ผลักดันราคาทองคำในระยะยาว โดยเฉพาะการดำเนินการของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างจีน ที่ได้เพิ่มปริมาณการถือครองทองคำอย่างมีนัยสำคัญจาก 1,900 ตันเป็นกว่า 2,500 ตัน สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่อินเดียก็มีแผนเชิงกลยุทธ์ที่จะเพิ่มสัดส่วนการถือครองทองคำในทุนสำรองจาก 7% เป็น 10% ภายในปี 2025 แนวโน้มนี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระบบการเงินโลก ที่หลายประเทศพยายามลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐ

ขณะที่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นปัจจัยกดดันที่สำคัญ โดยเฉพาะสถานการณ์ในยูเครนที่ยืดเยื้อและความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ซึ่งผลักดันให้นักลงทุนแสวงหาสินทรัพย์ปลอดภัย นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสหรัฐฯ หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดี อาจนำไปสู่นโยบายต่างประเทศที่แข็งกร้าวมากขึ้น ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความต้องการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

แนวโน้มนโยบายการเงินก็มีส่วนสำคัญต่อทิศทางราคาทองคำ โดยคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะยังคงผ่อนคลายนโยบายการเงินและลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงต้นปี 2568 ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำลดลง และทำให้ทองคำน่าสนใจมากขึ้นเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย การลดลงของอัตราดอกเบี้ยยังอาจส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำเพิ่มเติม

แหล่งที่มา: jpmorgan

นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลของหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ อาจนำไปสู่ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อในระยะยาว ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ เนื่องจากทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้ดี

ปัจจัยทางเทคนิค

แหล่งที่มา: Trandingview

การวิเคราะห์ทางเทคนิคแสดงให้เห็นภาพที่น่าสนใจหลายประการ โดยราคาทองคำมีแนวรับสำคัญที่ระดับ 2,447 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน และมีแนวต้านสำคัญที่ระดับ 2,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ การที่ราคายังคงยืนเหนือแนวรับนี้ แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มขาขึ้นที่ยังมีความต่อเนื่อง 

แม้สถานการณ์ปัจจุบันราคาทองคำได้มีการพักตัวลงมาบ้าง หลังจากขึ้นไปทดสอบบริเวณ 2,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม นี่แสดงถึงโอกาสและแนวโน้มที่ราคาจะปรับตัวขึ้นต่อหลังจากมีการพักตัวในระยะสั้น เพราะดัชนี RSI ที่แสดงให้เห็นว่าตลาดได้ปรับตัวลงจากภาวะซื้อมากเกินไป ทำให้ยังมีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวขึ้นได้อีก

ดัชนี MACD ก็แสดงสัญญาณที่น่าสนใจ โดยกำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้เส้น Zero Line ซึ่งหากสามารถยืนเหนือเส้นนี้ได้ จะเป็นการยืนยันแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลาง นอกจากนี้ ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ราคาปรับตัวขึ้นก็เป็นสัญญาณที่ดี แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อแนวโน้มขาขึ้น

สถาบันการเงินชั้นนำระดับโลกส่วนใหญ่มีมุมมองเชิงบวกต่อราคาทองคำในระยะกลางถึงระยะยาว โดยแต่ละสถาบันมีการคาดการณ์ที่น่าสนใจ

Goldman Sachs

หนึ่งในสถาบันการเงินที่มีอิทธิพลที่สุดในโลก ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำสำหรับปี 2567 โดยมองว่าราคาทองคำมีโอกาสแตะระดับ 2,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในสิ้นปี ทีมวิเคราะห์ของสถาบันให้เหตุผลว่า อุปสงค์ที่แข็งแกร่งจากธนาคารกลางทั่วโลก ประกอบกับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง จะเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาทองคำ

J.P. Morgan

แม้จะมีมุมมองที่ระมัดระวังมากกว่า แต่ก็ยังคงมองบวกต่อราคาทองคำ ทีมวิเคราะห์ของ J.P. Morgan ให้เหตุผลว่า แม้อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงจะเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำในระยะสั้น แต่การคาดการณ์ว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ประกอบกับอุปสงค์ที่แข็งแกร่งจากธนาคารกลางทั่วโลก จะช่วยพยุงราคาทองคำไว้ได้

FX Empire

มีมุมมองที่มองโลกในแง่ดีมากที่สุด โดย AG Thorson นักวิเคราะห์ของสถาบันมองว่า หากสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยกระดับความรุนแรงขึ้น หรือเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในประเทศสำคัญ ราคาทองคำอาจพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ภายในปี 2568

UBS และ Morgan Stanley 

แม้จะมีมุมมองเชิงบวกต่อราคาทองคำ แต่ก็แนะนำให้นักลงทุนระมัดระวังการเก็งกำไรระยะสั้น Morgan Stanley คาดการณ์ว่าราคาทองคำจะแตะระดับ 2,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในปี 2568 ขณะที่ UBS มองว่าการพุ่งขึ้นของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างแรงและเร็วเกินไป อาจต้องมีการพักตัวบ้างในระยะสั้น

เมื่อพิจารณาจากการคาดการณ์ของสถาบันการเงินต่างๆ ข้างต้น เราจะเห็นว่าแม้จะมีความแตกต่างในรายละเอียด แต่ทุกสถาบันมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าราคาทองคำยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้อีกในอนาคต ต่อเนื่องไปถึงปี 2568 โดยระดับราคาเป้าหมายส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 2,600-3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์

การจะระบุว่าซื้อทองเก็บอย่างไร ให้ได้กำไรดีที่สุดนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เรามาลองวิเคราะห์แนวทางการลงทุนในทองคำอย่างละเอียด เพื่อให้คุณมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจกัน

ระยะเวลาการถือครอง

การลงทุนในทองคำสามารถทำได้หลายระยะเวลา ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุนของแต่ละคน สำหรับการลงทุนระยะยาว (3-5 ปีขึ้นไป) ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนได้ดี เนื่องจากมักเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ เช่น หุ้น

สำหรับการลงทุนระยะสั้น (6 เดือน - 1 ปี) ควรระมัดระวังความผันผวนของราคาที่อาจเกิดขึ้น และควรมีการวางแผนจุดเข้าซื้อและขายที่ชัดเจน เนื่องจากราคาทองคำอาจมีการแกว่งตัวค่อนข้างมากในระยะสั้น

สัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสม

ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำให้จัดสรรเงินลงทุนในทองคำประมาณ 5-10% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด ตัวอย่างเช่น หากคุณมีเงินลงทุน1 ล้านบาท ควรลงทุนในทองคำประมาณ 50,000-100,000 บาท ทั้งนี้ ไม่ควรลงทุนในทองคำเกิน 15-20% ของพอร์ต เพื่อรักษาสมดุลและกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสม

จุดเข้าซื้อที่น่าสนใจ

จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค ราคาทองคำมีแนวรับสำคัญที่ระดับ 2,447 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นจุดสำคัญ การเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาใกล้แนวรับนี้อาจเป็นจังหวะที่น่าสนใจ นอกจากนี้ หากราคาปรับตัวลงมาต่ำกว่า 2,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็อาจเป็นโอกาสในการทยอยสะสม

อย่างไรก็ตาม ควรใช้กลยุทธ์การทยอยซื้อ (Dollar-Cost Averaging) โดยแบ่งเงินลงทุนออกเป็นส่วนๆ เช่น 4-6 ส่วน แล้วทยอยซื้อเมื่อราคาปรับตัวลง แทนการลงทุนครั้งเดียวทั้งจำนวน

การประเมินความเสี่ยงและโอกาสขาดทุน

แม้ว่าทองคำจะถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ก็มีความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดการขาดทุนได้ โดยเฉพาะในระยะสั้น จากข้อมูลในอดีต ราคาทองคำอาจมีการปรับตัวลงได้ 10-15% ในช่วงที่ตลาดผันผวน หรือในกรณีที่เลวร้ายที่สุด อาจลงได้ถึง 20-25% ในช่วงวิกฤตการเงิน

ตัวอย่างเช่น หากคุณลงทุน 100,000 บาท ควรเตรียมใจรับความผันผวนที่อาจทำให้มูลค่าการลงทุนลดลงเหลือ 85,000-90,000 บาทในระยะสั้น หรือในกรณีเลวร้าย อาจลดลงเหลือ 75,000-80,000 บาท

ในสภาวะที่ตลาดการเงินโลกมีความผันผวนและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนเช่นนี้ การลงทุนในทองคำถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน 

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในทองคำควรทำด้วยความระมัดระวัง สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตัวเอง และไม่ลงทุนด้วยเงินที่อาจจำเป็นต้องใช้ในระยะสั้น การลงทุนในทองคำควรเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การลงทุนระยะยาว และควรพิจารณาควบคู่กับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ เพื่อการกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสม

>>> วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้

💸 ห้ามพลาด!!! 💸

เทรดทองคำกับโบรกเกอร์ชั้นนำในโลก🎁🎁🎁

แจกโบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์

ฝึกเทรดด้วยเงินเสมือนจริง $50, 000 ฟรี 💰

เทรดเดี๋ยวนี้

การลงทุนมีความเสี่ยง อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน