วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 13 ก.พ. 2568
![coverImg](https://tw.mitrade.com/cms_uploads/img/20230815/6b4b1b7e39a4e071354bae48bd970774.jpeg)
ราคาทองคำวันนี้
กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้
*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣
*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰
*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁
บทความที่คุณอาจจะสนใจด้วย >> |
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้ ประจำวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ตลาดทองคำมีความผันผวนค่อนข้างรุนแรงในวันที่ผ่านมา แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มสูงขึ้นเกี่ยวกับแรงกดดันเงินเฟ้อและความเสี่ยงจากนโยบายการค้าของประธานาธิบดี Donald Trump โดย XAU/USD เคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 2,902 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในเช้าวันนี้ สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนเลือกถือครองในช่วงที่ตลาดการเงินโลกเผชิญกับความไม่แน่นอน
การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำก่อนหน้านี้เกิดขึ้นหลังจาก Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนระหว่างการให้ปากคำต่อสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ว่าทางการยังคงจำเป็นต้องรักษานโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อไป เนื่องจากภารกิจในการควบคุมเงินเฟ้อยังไม่บรรลุเป้าหมาย ความเห็นดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจาก Raphael Bostic ประธานธนาคารกลางสาขาแอตแลนตา ที่คาดการณ์ว่าต้องใช้เวลาถึงปี 2026 กว่าที่เงินเฟ้อจะกลับสู่เป้าหมายที่ 2% หากเศรษฐกิจยังคงเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ด้าน Austan Goolsbee ประธานธนาคารกลางสาขาชิคาโก ยังได้เน้นย้ำว่าตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นในเดือนมกราคมเป็นสัญญาณชัดเจนว่าการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อยังไม่จบสิ้น ก่อนที่ข้อมูลดังกล่าวจะถูกต้องย้ำจากตัวเลข CPI ล่าสุดที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วตลาดการเงิน ไม่เว้นแม้แต่ทองคำ
แรงกดดันเงินเฟ้อสหรัฐพุ่งแรงเกินคาด สั่นคลอนความหวังการลดดอกเบี้ย
สิ่งที่ทำให้ตลาดการเงินโลกสั่นสะเทือนในวันที่ผ่านมา คือการที่สำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ (Bureau of Labor Statistics) เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมกราคมเพิ่มขึ้นถึง 0.5% เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคมที่เพิ่มขึ้น 0.4% ตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 0.3% อย่างมีนัยสำคัญ ที่น่ากังวลไปกว่านั้นคือ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงานที่มักผันผวน ก็เพิ่มขึ้นถึง 0.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้เช่นกัน ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อรายปีพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 3.0% เหนือระดับ 2.9% ที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้
การเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อครั้งนี้มีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากต้นทุนที่อยู่อาศัยที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีที่พักอาศัย (Shelter Index) เพิ่มขึ้น 0.4% คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 30% ของการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อโดยรวม นอกจากนี้ ดัชนีราคาพลังงานก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.1% โดยมีแรงหนุนหลักจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น ขณะที่ดัชนีราคาอาหารก็เพิ่มขึ้น 0.4% รายงานยังชี้ให้เห็นการเพิ่มขึ้นของราคาในหมวดอื่นๆ อย่างกว้างขวาง ทั้งค่าเบี้ยประกันรถยนต์ ค่าใช้จ่ายด้านนันทนาการ ราคารถยนต์มือสอง ค่ารักษาพยาบาล ค่าบริการสื่อสาร และค่าโดยสารเครื่องบิน สะท้อนให้เห็นว่าแรงกดดันเงินเฟ้อได้แทรกซึมเข้าไปในทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ
ตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงเกินคาดนี้ส่งผลให้ตลาดต้องปรับลดคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ จากเดิมที่คาดว่าจะมีการปรับลด 40 basis points เหลือเพียง 30 basis points ภายในสิ้นปีนี้ สะท้อนให้เห็นว่าตลาดเริ่มยอมรับความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะต้องรักษานโยบายการเงินที่เข้มงวดไว้นานกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม
ทองคำยังรักษาระดับใกล้ 2,900 ดอลลาร์ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
แม้ว่าราคาทองคำจะเผชิญกับแรงเทขายในระยะสั้นหลังการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาด แต่ราคายังคงยืนอย่างแข็งแกร่งเหนือระดับ 2,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ Robert Minter ผู้อำนวยการด้านกลยุทธ์การลงทุน ETF ของ abrdn ให้ความเห็นว่า ราคาทองคำมีโอกาสพุ่งแตะระดับ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ในอนาคตอันใกล้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศภายใต้การนำของประธานาธิบดี Trump
Minter ยังได้ชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงที่น่าสนใจระหว่างการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะสหรัฐฯ กับราคาทองคำ โดยตั้งแต่ปี 1993 หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 756% ในขณะที่ราคาทองคำก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราที่ใกล้เคียงกันที่ 697% สะท้อนให้เห็นว่าทองคำยังคงทำหน้าที่เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากการเสื่อมค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นโยบายการค้าของทรัมป์สร้างความปั่นป่วนในตลาดโลก
Minter วิเคราะห์ว่า การที่ประธานาธิบดี Trump ขู่ใช้มาตรการภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือต่อรองเพื่อให้ได้ข้อตกลงทางการค้าที่เอื้อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ แม้จะเป็นกลยุทธ์ที่เคยใช้ได้ผลในสมัยดำรงตำแหน่งครั้งแรก แต่ก็สร้างความผันผวนและความไม่แน่นอนให้กับตลาดการเงินโลกอย่างมีนัยสำคัญ เขาเปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันว่าเหมือนกับการลงทุนในวง mosh pit ที่ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและคาดเดาได้ยาก ส่งผลให้หลายประเทศเริ่มมองหาทางเลือกอื่นนอกเหนือจากดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ BRICS ที่มีความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความเสี่ยงจากการถูกคว่ำบาตร การขึ้นภาษี และการถูกตัดออกจากระบบการค้าที่ใช้ดอลลาร์สหรัฐ
คาดการณ์ทิศทางราคาทองในระยะถัดไป โอกาสทะลุ 3,000 ดอลลาร์
ทางด้าน Gary Wagner บรรณาธิการของ TheGoldForecast.com ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับทิศทางราคาทองในระยะถัดไป โดยเชื่อว่าราคาทองมีโอกาสแตะระดับ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในอนาคตอันใกล้เช่นกัน โดยได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัย ทั้งความกังวลเรื่องการขึ้นภาษีนำเข้าที่อาจกระตุ้นเงินเฟ้อ และอุปสงค์ที่แข็งแกร่งจากทั้งธนาคารกลางและนักลงทุนสถาบัน
Wagner ยังได้ชี้ให้เห็นพฤติกรรมที่น่าสนใจของนักลงทุนในตลาดทองคำ โดยสังเกตว่าแม้ราคาจะปรับตัวลงหลังการแถลงการณ์ของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ แต่นักลงทุนก็เข้าซื้อทันทีที่ราคาอ่อนตัว สะท้อนให้เห็นความเชื่อมั่นที่มีต่อแนวโน้มราคาทองในระยะยาว อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่าการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาทองในลักษณะ parabolic หรือการพุ่งขึ้นในอัตราเร่ง อาจนำไปสู่การพักฐานในระยะสั้น แม้ว่าปัจจัยพื้นฐานจะยังคงแข็งแกร่งก็ตาม
นักวิเคราะห์หลายรายมองว่าระดับ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นแนวต้านทางจิตวิทยาที่สำคัญ เช่นเดียวกับระดับ 1,000 และ 2,000 ดอลลาร์ในอดีต การที่ราคาจะทะลุผ่านระดับดังกล่าวได้จำเป็นต้องมีปัจจัยหนุนที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในปัจจุบันที่มีทั้งความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศ และแนวโน้มการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐในระยะยาว อาจเป็นแรงผลักดันให้ราคาทองสามารถทำสถิติใหม่ได้ในที่สุด
นอกจากนี้ ปัจจัยสนับสนุนการลงทุนในทองคำยังมาจากความกังวลเกี่ยวกับสถานะทางการคลังของสหรัฐฯ โดยเฉพาะระดับหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาคที่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกและเพิ่มแรงกดดันต่อเงินเฟ้อในระยะยาว ทำให้ทองคำยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรักษามูลค่าของพอร์ตการลงทุนในระยะยาว
การลงทุนในทองคำในช่วงนี้จึงต้องติดตามปัจจัยสำคัญหลายประการ ทั้งทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ พัฒนาการของสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศ และความเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งล้วนมีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนและทิศทางของราคาทองในระยะต่อไป นักลงทุนควรพิจารณาจังหวะการลงทุนอย่างรอบคอบ โดยอาจทยอยสะสมในช่วงที่ราคาอ่อนตัวเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาในระยะสั้น
![mitrade](https://resource.mistorebox.com/operation/seo-admin-pubilc/templates/assets/ad-th/mitrade.png)
วิเคราะห์กราฟทองวันนี้
ราคาทองคำได้มีการสร้างหางของแท่งเทียนยาวลงไปทดสอบแนวรับที่ระดับ 2,970 ดอลลาร์ ก่อนที่จะมีแรงซื้อเข้ามาดันราคากลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ในด้านของ Momentum ของ RSI ก็น่าสนใจ เพราะแม้ราคาจะปรับตัวลงแรง แต่ RSI ไม่ได้ลงต่ำมากนัก และดีดตัวกลับมาในที่สุด นอกจากนี้ Stochastic RSI ก็เริ่มแสดงสัญญาณของการไขว้ขึ้น (Bullish Crossover) ซึ่งมักเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นรอบการขึ้นใหม่
การที่ราคาสามารถดีดตัวกลับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วหลังจากการลงแรง สะท้อนให้เห็นถึงแรงซื้อที่ยังคงแข็งแกร่งในตลาด โดยเฉพาะเมื่อสังเกตปริมาณการซื้อขาย (Volume) ที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ราคาดีดกลับ แสดงให้เห็นว่ามีนักลงทุนจำนวนมากที่เห็นโอกาสในการเข้าซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว
สำหรับมุมมองระยะถัดไป เราควรจับตาดูแนวต้านสำคัญที่บริเวณ 2,906-2,940 ดอลลาร์ หากราคาสามารถผ่านระดับนี้ขึ้นไปได้พร้อมปริมาณการซื้อขายที่สูง จะเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการปรับตัวขึ้นต่อไปสู่ระดับ 3,000 ดอลลาร์
ในทางกลับกัน แนวรับสำคัญจะอยู่ที่บริเวณจุดต่ำสุดของหางเทียนที่ 2,970 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่ควรระมัดระวังหากราคาย่อตัวลงมาทดสอบอีกครั้ง
แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง
$2,870
$2,850
$2,830
แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง
$2,906
$2,920
$2,940
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน