วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 6 ม.ค. 2568
ราคาทองคำวันนี้
กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้
*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣
*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰
*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁
บทความที่คุณอาจจะสนใจด้วย >> |
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้ ประจำวันที่ 6 มกราคม 2568 ตลาดทองคำโลกเริ่มต้นปี 2025 ด้วยความผันผวนที่น่าสนใจ หลังจากที่ราคาทองคำ (XAU/USD) พยายามรักษาระดับราคาบริเวณ 2,640 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในช่วงเช้าวันนี้ โดยมีปัจจัยกดดันสำคัญจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่าคาด โดยเฉพาะดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (Manufacturing PMI) ของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวดีขึ้น
การเคลื่อนไหวของราคาทองคำในช่วงต้นปีนี้ถือเป็นการพักตัวหลังจากที่สร้างผลตอบแทนรายปีที่ดีที่สุดในรอบ 14 ปี โดยราคาทองคำยังคงรักษาระดับเหนือ 2,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้อย่างแข็งแกร่ง แม้ว่าในช่วงสองสัปดาห์ตอนเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ปริมาณการซื้อขายจะค่อนข้างเบาบางก็ตาม นักลงทุนทั่วโลกต่างจับตามองข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ประจำเดือนธันวาคมที่จะเปิดเผยในวันศุกร์นี้ เพื่อประเมินทิศทางราคาทองคำในระยะถัดไป
นักวิเคราะห์หลายรายมองว่าสัปดาห์นี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของดอลลาร์สหรัฐและราคาทองคำในไตรมาสแรกของปี 2025 โดยเฉพาะหลังจากที่ตลาดจะได้รับข้อมูลการจ้างงานที่สำคัญ ซึ่งหากตัวเลขเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง อาจยิ่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับดอลลาร์สหรัฐ
สัญญาณการฟื้นตัวของภาคการผลิตสหรัฐฯ และผลกระทบต่อราคาทองคำ
สถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) ได้เปิดเผยตัวเลขดัชนี Manufacturing PMI ประจำเดือนธันวาคมที่น่าสนใจ โดยดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 49.3 จากระดับ 48.4 ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 48.4 แม้ว่าตัวเลขที่ต่ำกว่า 50 จะยังบ่งชี้ว่าภาคการผลิตอยู่ในภาวะหดตัว แต่การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีขึ้นของภาคการผลิตสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม Alex Kuptsikevich หัวหน้านักวิเคราะห์ตลาดจาก FxPro ได้ให้ข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า ในบางช่วงเวลา ราคาทองคำและดอลลาร์สหรัฐสามารถปรับตัวขึ้นไปพร้อมกันได้ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยดังจะเห็นได้จากช่วงวันที่ 31 ธันวาคม 2024 และ 2 มกราคม 2025 ที่แม้ดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่าขึ้นถึง 1.5% แต่ราคาทองคำก็ยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในขณะที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาทองคำในปี 2025 และแนวโน้มในอนาคต
การเคลื่อนไหวของราคาทองคำในปี 2025 ได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัยที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน โดยปัจจัยสำคัญประการแรกมาจากนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ส่งสัญญาณว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2025 แต่จะเป็นไปอย่างระมัดระวังและช้ากว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ช้าลงนี้อาจส่งผลกระทบต่อราคาทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย ทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนลดลงเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาทองคำที่สำคัญ โดยเฉพาะสถานการณ์ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อระหว่างอิสราเอลและฮามาสในฉนวนกาซา ซึ่งล่าสุดมีรายงานว่าการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในช่วงสุดสัปดาห์ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 ราย ขณะที่การเจรจาเพื่อยุติความรุนแรงและส่งตัวประกันกลับบ้านยังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจน นอกจากนี้ ความขัดแย้งในภูมิภาคอื่นๆ เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน และความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนยังคงต้องการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
ในด้านอุปสงค์ของตลาดทองคำ ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนราคา โดยคาดการณ์ว่าธนาคารกลางจะยังคงเป็นผู้ซื้อสุทธิทองคำประมาณ 8 ล้านออนซ์ในปี 2025 แม้ว่าจะใกล้เคียงหรือต่ำกว่าปริมาณการซื้อในปี 2024 เล็กน้อย แต่แนวโน้มการซื้อทองคำของธนาคารกลางที่ต่อเนื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการกระจายการถือครองสินทรัพย์สำรองระหว่างประเทศ และลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ
แนวโน้มระยะยาวและปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ส่งผลต่อราคาทองคำ
David Miller ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนและผู้จัดการกองทุนอาวุโสของ Catalyst Funds มีมุมมองเชิงบวกต่อราคาทองคำในปี 2025 โดยเฉพาะจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่สำคัญ หนึ่งในนั้นคือการที่กลุ่มประเทศ BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้) เริ่มลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐลง หลังจากที่สหรัฐฯ และยุโรปได้ใช้ระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ SWIFT เป็นเครื่องมือในการคว่ำบาตรรัสเซีย ทำให้ประเทศในกลุ่ม BRICS หันมาเพิ่มสัดส่วนการถือครองทองคำมากขึ้น เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่สามารถครอบครองได้ทางกายภาพและไม่สามารถถูกยึดหรืออายัดผ่านระบบการเงินระหว่างประเทศ แนวโน้มนี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะดำเนินต่อไปในปี 2025
นอกจากนี้ ปัญหาการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลบวกต่อราคาทองคำในระยะยาว โดยสำนักงานงบประมาณรัฐสภาสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าจะเกิดการขาดดุลงบประมาณถึง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 การขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ส่งผลให้หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้น และอาจทำให้ความเชื่อมั่นต่อดอลลาร์สหรัฐในฐานะสกุลเงินสำรองหลักของโลกลดลงในระยะยาว
การเปลี่ยนแปลงในระบบการเงินโลกก็เป็นอีกปัจจัยที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะการที่หลายประเทศพยายามลดการพึ่งพาระบบการชำระเงินที่อิงกับดอลลาร์สหรัฐ และหันมาพัฒนาระบบการชำระเงินทางเลือกของตนเอง รวมถึงการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น แนวโน้มการ De-dollarization นี้อาจส่งผลให้ความต้องการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์สำรองระหว่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
ในด้านปัจจัยทางเศรษฐกิจ แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังคงแสดงสัญญาณของความแข็งแกร่ง แต่ความเสี่ยงของการเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในปี 2025 ยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะจากผลกระทบของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอาจเริ่มส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและการจ้างงานมากขึ้นในปีนี้ หากเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลง ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจต้องเร่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่วางแผนไว้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ
ตลาดการเงินโลกในสัปดาห์นี้จะจับตามองข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ หลายรายการ โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) ในวันศุกร์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญถึงแนวโน้มของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และอาจส่งผลต่อการตัดสินใจดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในอนาคต นอกจากนี้ ตลาดยังจะได้ติดตามรายงานการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC Minutes) ในวันพุธ ซึ่งจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับมุมมองของคณะกรรมการต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางของนโยบายการเงินในปี 2025
วิเคราะห์กราฟทองวันนี้
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของราคาทองคำหลังจากที่ราคาได้ปรับตัวลงมาจากระดับ $2,657 มาอยู่ที่ $2,640 ในปัจจุบัน ในมุมมองทางเทคนิค การปรับตัวลงนี้เป็นไปตามที่เราได้คาดการณ์ไว้ในการวิเคราะห์ครั้งก่อน โดยราคาได้พักตัวลงมาทดสอบแนวรับที่ $2,641 ซึ่งเดิมเคยเป็นแนวต้านสำคัญ การที่ราคาสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้แสดงให้เห็นว่าแนวรับนี้ยังคงทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อพิจารณาจากค่า RSI ที่แสดงในกราฟ เราเห็นการปรับตัวลงจากเขตภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) ซึ่งสอดคล้องกับการพักตัวของราคา นอกจากนี้ Stochastic RSI ก็แสดงการไขว้กันในทิศทางขาลง ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงแรงขายระยะสั้นที่อาจเข้ามาเพิ่มเติม
สำหรับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ EMA 12 และ EMA 26 แม้จะยังคงแยกตัวในทิศทางขาขึ้น แต่ระยะห่างระหว่างเส้นเริ่มแคบลง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการชะลอตัวของแนวโน้มขาขึ้นในระยะสั้น
ในมุมมอง 24 ชั่วโมงข้างหน้า หากราคาไม่สามารถยืนเหนือ $2,641 ได้ เราอาจเห็นการปรับตัวลงต่อเนื่องไปทดสอบแนวรับถัดไปที่ $2,632 และ $2,611 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ราคายังคงยืนเหนือเส้น EMA 26 ที่บริเวณ $2,630 แนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางยังคงมีโอกาสไปต่อ
ในระยะกลาง แม้ว่าราคาจะมีการพักตัวลง แต่หากสามารถรักษาระดับเหนือ $2,630 ได้ โอกาสที่จะเห็นการฟื้นตัวกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ $2,657 และ $2,667 ยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีปัจจัยพื้นฐานเข้ามาสนับสนุน อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังการเคลื่อนไหวของ Stochastic RSI ที่อาจส่งสัญญาณการปรับฐานในระยะสั้น แต่หากมองในภาพรวม โครงสร้างทางเทคนิคยังคงบ่งชี้ถึงแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลาง ตราบใดที่ราคายังคงยืนเหนือแนวรับสำคัญที่ $2,630
แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง
$2,641
$2,632
$2,611
แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง
$2,656
$2,667
$2,677
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน