วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 15 พ.ย. 2567
ราคาทองคำวันนี้
กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้
*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣
*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰
*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁
บทความที่คุณอาจจะสนใจด้วย >> |
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้ ประจำวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ตลาดทองคำฟื้นตัวเล็กน้อยในวันที่ผ่านมา แต่แนวโน้มระยะกลางดูเหมือนจะยังคงเป็นขาลง ราคาทองคำ Spot ล่าสุดอยู่ที่ 2,566 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ท่ามกลางการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์สหรัฐที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน โดยดัชนีดอลลาร์ (US Dollar Index) พุ่งทะลุแนวต้านสำคัญที่ระดับ 105.50-106.37 ขึ้นไปทำจุดสูงสุดในรอบปีที่ 106.96 เพิ่มขึ้นถึง 7% จากจุดต่ำสุดในช่วงปลายเดือนกันยายน
เงินเฟ้อผู้ผลิตสหรัฐพุ่งแรงเกินคาด สะท้อนแรงกดดันต้นทุนยังไม่คลี่คลาย Fed ส่งสัญญาณระมัดระวังการลดดอกเบี้ย
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (Producer Price Index: PPI) ประจำเดือนตุลาคม พบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า สูงกว่าตัวเลขเดือนกันยายนที่เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% สอดคล้องกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ ขณะที่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตราเงินเฟ้อผู้ผลิตเพิ่มขึ้น 2.4% สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 2.3% และสูงกว่าตัวเลขเดือนกันยายนที่ 1.9% อย่างมีนัยสำคัญ
ส่วน Core PPI ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงานที่มีความผันผวนสูง เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนตุลาคม สอดคล้องกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ และสูงกว่าเดือนกันยายนที่เพิ่มขึ้น 0.2% โดยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน Core PPI เพิ่มขึ้น 3.1% สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 3.0% และสูงกว่าตัวเลขเดือนกันยายนที่ 2.8%
ตัวเลขเงินเฟ้อผู้ผลิตที่สูงกว่าคาดการณ์นี้ สะท้อนให้เห็นว่าแรงกดดันด้านต้นทุนของผู้ผลิตยังไม่คลี่คลายลง โดยเฉพาะในภาคการผลิตและบริการ ซึ่งอาจส่งผ่านไปยังราคาผู้บริโภคในที่สุด เนื่องจาก PPI ถือเป็นดัชนีชี้นำเงินเฟ้อ (Leading Inflation Indicator) ที่สำคัญ เพราะผู้ผลิตมักจะผลักภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้บริโภคในรูปของราคาสินค้าและบริการที่สูงขึ้น
ตลาดแรงงานสหรัฐแกร่งเกินคาด ตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานต่ำสุดรอบหลายเดือน สะท้อนเศรษฐกิจยังร้อนแรง
ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐก็เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 9 พฤศจิกายน อยู่ที่ 217,000 ราย ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 223,000 ราย และลดลงจากสัปดาห์ก่อนที่มีผู้ขอสวัสดิการ 221,000 ราย สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานสหรัฐที่ยังคงดำเนินต่อเนื่อง แม้จะเผชิญกับความท้าทายจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง
ตัวเลขตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งเกินคาดเหล่านี้ ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มปรับลดคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในปี 2025 ลง โดยตลาดการเงินเริ่มมองว่า Fed อาจลดดอกเบี้ยเพียง 1-2 ครั้งในปีหน้า จากเดิมที่คาดว่าจะลดถึง 3-4 ครั้ง เนื่องจากเศรษฐกิจและตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่งอาจทำให้ Fed ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนผ่อนคลายนโยบายการเงิน
Powell ยืนยันเศรษฐกิจสหรัฐแกร่ง ตลาดแรงงานตึงตัว ไม่จำเป็นต้องรีบลดดอกเบี้ย พร้อมจับตาผลกระทบนโยบาย Trump
Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) แสดงความมั่นใจต่อพื้นฐานเศรษฐกิจสหรัฐในระหว่างการแถลงที่ธนาคารกลางสาขาดัลลัส โดยระบุว่าด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง ตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง และอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่เหนือเป้าหมาย 2% ทำให้ Fed ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยสามารถใช้เวลาพิจารณาดำเนินการอย่างรอบคอบได้
Powell ชี้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐในปัจจุบันอยู่ในภาวะที่ “น่าประทับใจอย่างยิ่ง” โดยเศรษฐกิจยังคงเติบโตในอัตรา 2.5% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าที่ Fed ประเมินศักยภาพไว้ ขณะที่อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำเพียง 4.1% สะท้อนถึงตลาดแรงงานที่ตึงตัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การบริโภคของภาคเอกชนยังได้แรงหนุนจากรายได้ที่แท้จริง (Real Disposable Income) ที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่การลงทุนภาคธุรกิจก็มีแนวโน้มขยายตัว
อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ Fed ให้ความสำคัญ ยังคงอยู่เหนือเป้าหมาย โดย Core PCE ที่ไม่รวมหมวดอาหารและพลังงาน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 2.8% ในเดือนตุลาคม ซึ่งจะเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันที่อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ PCE โดยรวมคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.3% ในเดือนตุลาคม ยังคงสูงกว่าเป้าหมายที่ 2%
Powell ยังกล่าวว่า Fed ยังคงเชื่อมั่นในกระบวนการลดเงินเฟ้อที่กำลังดำเนินอยู่ แต่ก็ต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะต้นทุนที่อยู่อาศัย โดยองค์ประกอบสำคัญของเงินเฟ้อ “ได้กลับเข้าสู่ระดับที่สอดคล้องกับเป้าหมายของเรามากขึ้น แต่เรากำลังติดตามอย่างระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่าแนวโน้มนี้จะยังคงดำเนินต่อไป โดยเงินเฟ้อกำลังเคลื่อนที่เข้าใกล้เป้าหมายระยะยาวที่ 2% ของเรามากขึ้น แต่ก็ยังไม่ถึงจุดนั้น”
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ Fed และนักลงทุนกำลังประเมินผลกระทบจากความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังคงดำเนินต่อไป รวมถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับวาระทางเศรษฐกิจของรัฐบาล Trump โดยเฉพาะในประเด็นการปรับลดภาษี การขึ้นภาษีนำเข้า และการปราบปรามการเข้าเมือง ซึ่งอาจส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
นักวิเคราะห์เตือนทองเสี่ยงร่วงหนัก หลัง Trump Trade-ดอลลาร์แข็ง ทำลายเทรนด์ขาขึ้นระยะกลาง
Kelvin Wong นักวิเคราะห์อาวุโสจาก OANDA เผยมุมมองเชิงลึกต่อทิศทางราคาทองคำ โดยชี้ว่าแม้ทองคำจะทำผลงานได้โดดเด่นในปีนี้ โดยทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ระดับ 2,790 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันที่ 30 ตุลาคม เพิ่มขึ้นมากกว่า 40% จากจุดต่ำสุดในเดือนกุมภาพันธ์ แต่แนวโน้มการปรับตัวขึ้นในระยะกลางได้รับความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญแล้ว
“นับตั้งแต่รายงานครั้งล่าสุดของเราเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ทองคำได้ปรับตัวขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้และทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 2,790 ดอลลาร์ แต่การปรับตัวขึ้นนี้ก็หยุดชะงักลงก่อนที่จะไปถึงแนวต้านสำคัญในระยะกลางที่ 2,850-2,886 ดอลลาร์”
นักวิเคราะห์ระบุว่า การปรับตัวขึ้นของทองคำถูกสกัดด้วยปัจจัยสำคัญสองประการ ได้แก่ ปรากฏการณ์ “Trump Trade” ที่ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงพุ่งขึ้นในขณะที่ทองคำอ่อนแรงลง และการแข็งค่าอย่างรุนแรงของดอลลาร์สหรัฐพร้อมกับการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี
“หลังจากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน นักลงทุนยังคงจับตา Trump Trade ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักและสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ การแข็งค่าของดอลลาร์ในปัจจุบันมีสาเหตุหลักมาจากการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี แม้ว่า Fed จะเพิ่งเริ่มวงจรการลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน”
Wong ชี้ว่า “นักลงทุนในตลาดพันธบัตรเริ่มคำนึงถึงสถานการณ์ที่วงจรการลดดอกเบี้ยของ Fed ในครั้งนี้อาจจะสั้นกว่าที่คาด โดย Fed อาจลดดอกเบี้ยเพียงหนึ่งหรือสองครั้งในปี 2025 เนื่องจากความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะกลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง อันเป็นผลจากนโยบายของ Trump ทั้งการลดภาษีนิติบุคคลอย่างมาก และการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนและประเทศอื่นๆ”
ในแง่เทคนิค Wong เตือนว่าการที่ราคาทองคำหลุดแนวรับสำคัญที่ 2,600-2,590 ดอลลาร์อย่างชัดเจนเมื่อวันพุธที่ 13 พฤศจิกายน ประกอบกับการที่ราคาหลุดเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วันซึ่งเคยรองรับราคามาตลอด 4 เดือนตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม สะท้อนว่าแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางได้รับความเสียหายแล้ว
วิเคราะห์กราฟทองวันนี้
จากการวิเคราะห์กราฟราคาทองคำรายชั่วโมง หลังจากราคาปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ราคาได้มีการฟื้นตัวขึ้นมาเล็กน้อยจากสัญญาณทางเทคนิค อย่างไรก็ตาม ราคายังคงเคลื่อนไหวต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย EMA ที่สำคัญทั้งสามเส้น แสดงถึงแนวโน้มในระยะกลางที่ยังคงเป็นขาลง
โดยในขณะนี้ราคาอยู่ที่ $2,566 ซึ่งกำลังทดสอบแนวต้านบริเวณ $2,573 โดยมีแนวรับถัดไปที่ $2,545 และ $2,537 ตามลำดับ ส่วนแนวต้านสำคัญอยู่ที่ $2,589 และ $2,602 ซึ่งเป็นระดับที่มีแรงขายสะสมอยู่มาก
ดัชนี RSI แสดงให้เห็นการเกิด Bullish Divergence โดยในขณะที่ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่ค่า RSI กลับทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น ที่เป็นสัญญาณเตือนว่าแรงขายเริ่มอ่อนกำลังลง ซึ่งน่าจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ราคาปรับตัวขึ้นมาได้ในช่วงที่ผ่านมา
คาดการณ์แนวโน้มใน 24 ชั่วโมงข้างหน้า ราคาทองคำมีโอกาสแกว่งตัวในกรอบ $2,537-2,573 โดยหากราคาสามารถยืนเหนือแนวรับ $2,545 ได้อย่างมั่นคง อาจเห็นการดีดตัวขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไปที่ $2,573 - $2,589 แต่หากหลุดแนวรับดังกล่าว ราคามีโอกาสปรับตัวลงทดสอบแนวรับถัดไปที่ $2,537 และ $2,528 ตามลำดับ นักลงทุนควรติดตามการเคลื่อนไหวของราคาบริเวณแนวรับ $2,545 อย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นระดับสำคัญที่จะบ่งชี้ทิศทางในระยะสั้น
แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง
$2,545
$2,537
$2,528
แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง
$2,573
$2,589
$2,602
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน