วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 9 ม.ค. 2568
ราคาทองคำวันนี้
กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้
*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣
*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰
*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁
บทความที่คุณอาจจะสนใจด้วย >> |
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้ ประจำวันที่ 9 มกราคม 2568 ตลาดทองคำปรับตัวแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยราคา XAU/USD พุ่งขึ้นแตะระดับ 2,669 ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนจะปรับตัวลงเล็กน้อยในเช้าวันนี้ หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้เผยรายงานการประชุมเดือนธันวาคมที่ส่งสัญญาณเป็นกลางค่อนไปทางเข้มงวด พร้อมระบุว่า “การชะลอการผ่อนคลายนโยบายการเงินจะเป็นแนวทางที่เหมาะสม” การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินและความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เพิ่มสูงขึ้น
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ หรือ US Dollar Index (DXY) ซึ่งเป็นดัชนีที่วัดความแข็งแกร่งของเงินดอลลาร์สหรัฐเทียบกับตะกร้าเงิน 6 สกุลหลัก ยังคงรักษาการปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.33% อยู่ที่ระดับ 109.04 สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และนโยบายการเงินที่ยังคงเข้มงวดของ Fed
ในขณะเดียวกัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดสำคัญของตลาดตราสารหนี้และมีอิทธิพลต่อต้นทุนการกู้ยืมทั่วโลก ได้ปรับตัวลดลงจากระดับ 4.73% มาอยู่ที่ 4.699% เพิ่มขึ้น 3 basis points การเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสะท้อนถึงความคาดหวังของตลาดต่อทิศทางนโยบายการเงินและแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
Fed ปรับท่าทีเข้มงวดขึ้นหลังเงินเฟ้อยังน่ากังวล
ในการประชุมนโยบายการเงินครั้งสุดท้ายของปี 2024 คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 basis points มาอยู่ที่ระดับ 4.25%-4.5% การตัดสินใจดังกล่าวสะท้อนถึงความพยายามของ Fed ในการรักษาสมดุลระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อและการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม มีกรรมการ FOMC บางคนแสดงความเห็นว่าการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในการประชุมครั้งนั้นอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า เนื่องจากความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ความเห็นที่แตกต่างกันนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ Fed กำลังเผชิญในการดำเนินนโยบายการเงินท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อน
ที่น่าสนใจคือ Fed ได้ปรับลดคาดการณ์การลดดอกเบี้ยในปี 2025 เหลือเพียง 2 ครั้งจากเดิม 4 ครั้งในการประมาณการครั้งก่อนเมื่อเดือนกันยายน การปรับลดคาดการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงมุมมองที่ระมัดระวังมากขึ้นของ Fed ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ โดยนับตั้งแต่เดือนกันยายน Fed ได้ลดอัตราดอกเบี้ยลงแล้ว 1% และตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยลงอีกเพียง 1-2 ครั้งในปีนี้
ความท้าทายจากนโยบายทรัมป์และแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่
คณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ แสดงความกังวลอย่างมีนัยสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายของประธานาธิบดีที่ได้รับเลือกตั้ง Donald Trump โดยเฉพาะในด้านนโยบายการค้าระหว่างประเทศและการเข้าเมือง รายงานการประชุมมีการกล่าวถึงประเด็นนี้อย่างน้อย 4 ครั้ง สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของปัจจัยดังกล่าวต่อการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง
นับตั้งแต่ชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน Trump ได้ส่งสัญญาณชัดเจนถึงแผนการใช้มาตรการภาษีที่เข้มงวดกับประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยเฉพาะจีน เม็กซิโก และแคนาดา นโยบายการค้าเชิงปกป้อง (Protectionist Trade Policy) ดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก และอาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของต้นทุนสินค้าและบริการ ซึ่งจะกลายเป็นแรงกดดันต่อเงินเฟ้อในระยะต่อไป
นอกจากนี้ แผนการผ่อนคลายกฎระเบียบทางการเงินและการดำเนินนโยบายส่งกลับผู้อพยพจำนวนมากของ Trump อาจส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับขอบเขตและรายละเอียดของนโยบายเหล่านี้ทำให้ Fed ต้องดำเนินนโยบายการเงินด้วยความระมัดระวังมากขึ้น
ในด้านเงินเฟ้อ ดัชนีที่ Fed ใช้วัดอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (PCE) ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงานที่มีความผันผวนสูง แสดงให้เห็นว่าเงินเฟ้อในเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 2.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และเมื่อรวมราคาอาหารและพลังงาน อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) อยู่ที่ 2.8% สูงกว่าเป้าหมายของ Fed ที่ 2% อย่างมีนัยสำคัญ
เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่คาดว่าเงินเฟ้อจะไม่กลับสู่เป้าหมายจนกว่าจะถึงปี 2027 การคาดการณ์ระยะเวลาที่ยาวนานนี้สะท้อนถึงความท้าทายในการควบคุมเงินเฟ้อ โดยเฉพาะในบริบทของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทาน และการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการค้าและการเข้าเมือง
ตลาดแรงงานแข็งแกร่งสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ขณะที่ตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ ยังคงแสดงถึงความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจท่ามกลางความไม่แน่นอนต่างๆ รายงานล่าสุดแสดงให้เห็นว่าจำนวนผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ลดลงมาอยู่ที่ 201,000 ราย สำหรับสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 4 มกราคม ต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 218,000 ราย
ในส่วนของจำนวนผู้รับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Claims) ซึ่งแสดงถึงจำนวนผู้ที่ยังคงได้รับสวัสดิการว่างงานอยู่ อยู่ที่ระดับ 1.867 ล้านราย ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 28 ธันวาคม ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 1.870 ล้านราย แต่สูงกว่าตัวเลขสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 1.844 ล้านราย ข้อมูลนี้บ่งชี้ว่าแม้ตลาดแรงงานจะยังแข็งแกร่ง แต่อาจเริ่มมีสัญญาณของการชะลอตัวเล็กน้อย
แนวโน้มราคาทองคำและปัจจัยที่ต้องจับตา
ขณะที่ตลาดทองคำยังคงรักษาแนวโน้มเชิงบวกไว้ได้แม้จะเผชิญกับปัจจัยกดดันจากท่าทีที่เข้มงวดขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐฯ สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนยังคงมองทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินและการเมือง
Jerome Powell ประธาน Fed ได้เปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันในการแถลงข่าวว่าเหมือนกับ “การขับรถในคืนที่มีหมอกหนาหรือการเดินเข้าไปในห้องมืดที่เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ คุณต้องชะลอความเร็วลง” คำเปรียบเทียบนี้สะท้อนให้เห็นถึงความระมัดระวังของธนาคารกลางในการดำเนินนโยบายการเงินท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้น
Dot Plot ซึ่งแสดงการคาดการณ์ของกรรมการแต่ละคนบ่งชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะยาวจะลดลงมาอยู่ที่ 3% โดยคาดว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปี 2026 และอาจมีการลดเพิ่มเติมอีก 1-2 ครั้งหลังจากนั้น อย่างไรก็ตาม ทิศทางดังกล่าวยังคงขึ้นอยู่กับพัฒนาการของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเป็นสำคัญ
สุดท้าย ในวันนี้ตลาดการเงินสหรัฐฯ จะปิดทำการเนื่องในวันหยุดวันชาติ ซึ่งอาจส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายในตลาดทองคำเบาบางลง แต่นักลงทุนยังคงต้องติดตามปัจจัยสำคัญในระยะต่อไป โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarm Payroll) ที่จะมีการเปิดเผยในวันศุกร์นี้ ซึ่งหากตัวเลขทั้งสองออกมาแข็งแกร่งกว่าที่คาด อาจส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงจากแรงหนุนของดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น
วิเคราะห์กราฟทองวันนี้
จากการพัฒนาของราคาต่อเนื่องจากเมื่อวาน จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญโดยราคาทองคำได้สามารถยืนเหนือแนวต้านสำคัญที่ $2,657 ได้อย่างมั่นคงขึ้น ซึ่งนี่เป็นพัฒนาการที่น่าสนใจมาก เพราะระดับนี้เคยเป็นแนวต้านที่แข็งแกร่งในช่วงก่อนหน้า
สิ่งที่น่าสนใจคือรูปแบบแท่งเทียนล่าสุดแสดงให้เห็นการต่อสู้ระหว่างแรงซื้อและแรงขาย แม้จะมีไส้บนและล่างที่แสดงถึงความผันผวน แต่ราคาปิดยังคงอยู่เหนือระดับ $2,657 ได้ ซึ่งนี่อาจเป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงว่าแนวต้านเดิมกำลังจะกลายเป็นแนวรับใหม่
การเคลื่อนตัวของเส้น EMA ยังคงสนับสนุนแนวโน้มขาขึ้น โดยเส้น EMA ระยะสั้น (สีฟ้า) มีความชันเพิ่มขึ้นและห่างจากเส้น EMA ระยะยาว (สีส้ม) มากขึ้น ซึ่งเป็นการยืนยันแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง ในแง่ของ Momentum ตัวชี้วัด RSI ยังคงเคลื่อนตัวในโซนกลางและไม่ได้เข้าสู่ภาวะ Overbought ซึ่งหมายความว่ายังมีพื้นที่สำหรับการปรับตัวขึ้นต่อได้
มองไปข้างหน้า หากราคาสามารถยืนเหนือ $2,657 ได้ต่อเนื่อง เป้าหมายถัดไปจะอยู่ที่แนวต้าน $2,667 และ $2,677 ตามลำดับ โดยมีแนวรับสำคัญใหม่อยู่ที่ $2,657 (แนวต้านเดิมที่น่าจะกลายเป็นแนวรับ) และ $2,641 ตามลำดับ
นักลงทุนควรติดตามว่าราคาจะสามารถยืนเหนือระดับ $2,657 ได้อย่างมั่นคงต่อไปหรือไม่ เพราะหากสามารถยืนได้ จะเป็นการยืนยันการเปลี่ยนแปลงของแนวต้านเดิมเป็นแนวรับใหม่ และเพิ่มโอกาสในการปรับตัวขึ้นต่อไปยังเป้าหมายถัดไป
แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง
$2,657
$2,641
$2,632
แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง
$2,667
$2,677
$2,688
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน