วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 10 เม.ย. 2567

กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้

เทรดทองเดี๋ยวนี้ >     

*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣ 

*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰 

*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁

ราคาทองคำร่วงลงเล็กน้อย หลังจากขึ้นไปทำสถิติสูงสุดตลอดกาลอีกครั้งที่ระดับ 2,365 ดอลลาร์

ถึงแม้ช่วงที่ผ่านมาปฏิทินเศรษฐกิจสหรัฐฯ ค่อนข้างเบาบาง ยกเว้นดัชนี Small Optimism Index ของ National Federation of Independent Business (NFIB) ที่ลดลง 3 เดือนติดต่อกันจาก 89.4 เป็น 88.5 ในเดือนมีนาคม นอกจากนี้ ตลาดกำลังจับตาดูข้อมูลในวันนี้ที่จะมีการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI) ของสหรัฐฯ และรายงานการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงมองโลกในแง่ดีว่าจะสามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้ แต่เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องอดทน

โดยนับตั้งแต่การระเบิดขึ้นครั้งแรกเมื่อเดือนที่แล้ว ตลาดทองคำได้ไต่ระดับสูงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ทำสถิติสูงสุดใหม่เกือบทุกวัน แม้ว่าตัวชี้วัดโมเมนตัมจะเริ่มอ่อนลง แต่นักวิเคราะห์บางคนกล่าวว่าการฟื้นตัวของทองคำยังคงมีพื้นที่เหลืออยู่อีกมาก โดยราคาทองคำล่วงหน้าเดือนมิถุนายน (June gold futures) พุ่งแตะ 2,384.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในวันที่ผ่านมา

นักวิเคราะห์ระบุว่าการฟื้นตัวของทองคำเกิดขึ้นก่อนการเปิดเผยรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในวันนี้ ข้อมูลเงินเฟ้อดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาด เนื่องจากนักลงทุนพยายามคาดการณ์ถึงจุดเริ่มต้นของวัฏจักรการคุมเข้มทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ

เครื่องมือ CME FedWatch Tool แสดงให้เห็นว่าตลาดมองโอกาสที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายนอยู่ที่เพียง 56% ลดลงอย่างมากจาก 80% ที่มีการคาดการณ์เมื่อเดือนที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงไปเหล่านี้ยังไม่สามารถสกัดกั้นความน่าสนใจที่มีต่อทองคำได้

Alex Kuptsikevich นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสของ FxPro กล่าวว่าข่าวใด ๆ เกี่ยวกับสหรัฐฯ จะเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดการซื้อทองคำ สัญญาณของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและเงินเฟ้อ เน้นย้ำถึงคุณสมบัติของทองคำในการรักษามูลค่า หากเงินเฟ้ออ่อนแรงลง ก็จะส่งผลให้คาดหวังได้ว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็ว ๆ นี้ ซึ่งจะสนับสนุนความต้องการสินทรัพย์เสี่ยง

แม้ว่าความเสี่ยงสำหรับทองคำจะเพิ่มขึ้นที่ระดับราคาสูง แต่ Kuptsikevich ระบุถึงความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นในตลาดการเงินโดยรวม ซึ่งอาจสนับสนุนความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย 

Kuptsikevich ระบุเพิ่มเติมว่ามีความเสี่ยงที่นักลงทุนกำลังละเลยสัญญาณเตือนเรื่องผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีเพิ่มขึ้นจาก 3.8% ณ สิ้นเดือนมกราคมเป็น 4.45% ในวันจันทร์

การปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยระยะยาวบ่งชี้ว่าเงินกำลังเดิมพันกับภาวะอัตราดอกเบี้ยสูงในระยะยาว ตลาดอื่น ๆ ไม่อาจเพิกเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดหนี้รัฐบาลได้นานนัก ดัชนีหุ้นก็เริ่มสังเกตเห็นแล้ว โดยมีการปรับตัวลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงต้นเดือนเมษายน หากผลลัพธ์ของตลาดคือการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลต่อไป ตลาดโลกอาจมีความสอดคล้องกันมากขึ้น ส่งผลให้มีการขายสินทรัพย์เสี่ยงแพร่หลายมากขึ้น และกระทบต่อทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ในกรณีนี้ อาจต้องใช้เวลาหลายเดือนก่อนที่จะเห็นการปรับฐานของราคาลงจากจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์

Thu Lan Nguyen หัวหน้าฝ่ายวิจัยสินค้าโภคภัณฑ์ของ Commerzbank กล่าวว่าตลาดทองคำมีลักษณะของฟองสบู่ที่สมเหตุสมผล เมื่อความสัมพันธ์แบบผกผันระหว่างราคาและผลตอบแทนพันธบัตรแยกออกจากกันมากขึ้น

Nguyen ระบุว่ายังคงมีการดึงลากระหว่างความต้องการทองคำเพื่อเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เธอเสริมว่า ในขณะที่ราคาอาจสูงขึ้นได้อีก แต่ก็ควรระมัดระวังไว้

“การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนราคาทองคำ แต่น่าจะไม่ใช่ปัจจัยเดียว ตัวอย่างเช่น ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทองคำ ดังนั้น ราคาทองคำที่มีเหตุผลพื้นฐานสนับสนุนจึงไม่สามารถกำหนดได้อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ยากที่จะจินตนาการว่าความแตกต่างระหว่างราคาทองคำและปัจจัยพื้นฐานทั่วไปที่ขับเคลื่อนราคาทองคำจะดำเนินต่อไปได้ตลอดไป ซึ่งไม่ได้หมายความว่าการปรับฐานราคาจะเกิดขึ้นในทันที แต่อย่างน้อยที่สุด การเบี่ยงเบนในระยะยาวดูเหมือนจะเป็นไปได้ยากมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางคนระบุว่าทองคำยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีกมาก เนื่องจากภาวะการเงินของประเทศตะวันตกไม่ใช่ปัจจัยขับเคลื่อนหลักของโลหะมีค่า

นักวิเคราะห์บางส่วนชี้ว่าความต้องการจากเอเชียยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคา โดยระบุว่าราคาทองคำจะทำจุดสูงสุดในช่วงข้ามคืน

Colin Hamilton นักวิเคราะห์สินค้าโภคภัณฑ์ของ BMO Capital Markets กล่าวว่าจีนยังคงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดทองคำทั่วโลก โดยมูลค่าการซื้อขายในตลาดทองคำเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Gold Exchange) พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปีเมื่อวานนี้ ในขณะที่ทองคำปรับตัวไปทำราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ในขณะเดียวกัน ส่วนต่างระหว่างราคาทองคำใน SGE และราคาที่กำหนดโดย London Bullion Market Association (LBMA) ได้พุ่งขึ้นไปทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ราว 40 ดอลลาร์

ผลิตภัณฑ์กองทุน ETF ที่มีทองคำเป็นสินทรัพย์อ้างอิง (Gold-backed ETF) แสดงสัญญาณการฟื้นตัว โดยดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนในอเมริกาเหนือเมื่อเดือนที่แล้ว ถึงแม้ตลาดยุโรปยังคงมียอดไหลออก ที่สำคัญ ตามข้อมูลล่าสุดจาก World Gold Council (WGC)

WGC เผยแพร่รายงานล่าสุดเกี่ยวกับการไหลเข้าและออกของ ETF รายเดือนเมื่อวันอังคาร ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายอดไหลออกทั่วโลกลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2020 และต่ำกว่าสถิติสิ้นเดือนตุลาคมที่ 3,915 ตัน ถึง 21%

นักวิเคราะห์ระบุว่ากองทุนที่จดทะเบียนในอเมริกาเหนือมีปริมาณการถือครองเพิ่มขึ้นจริง ๆ อยู่ 4.8 ตัน คิดเป็นมูลค่า 360 ล้านดอลลาร์

นักวิเคราะห์กล่าวว่าการไหลเข้าส่วนใหญ่มาจากกิจกรรมในตลาด options การฟื้นตัวของราคาทองคำกระตุ้นให้เกิดการใช้สิทธิ call options ในช่วงกลางเดือนมีนาคม ทำให้เกิดการไหลเข้าอย่างมีนัยสำคัญโดยความต้องการจะสูงขึ้นถ้านักลงทุนไม่ขายหุ้นของตนในช่วงต้นและปลายเดือนมีนาคม เพื่อใช้ประโยชน์จากราคาทองคำที่สูงขึ้น

ในขณะเดียวกัน กองทุนที่จดทะเบียนในเอเชียก็มียอดไหลเข้าเป็นเดือนที่ 13 ติดต่อกัน โดยมีการถือครองเพิ่มขึ้น 3.1 ตัน คิดเป็นมูลค่า 217 ล้านดอลลาร์ WGC ระบุว่าจีนยังคงเป็นผู้นำการไหลเข้าอีกครั้ง เนื่องจากการฟื้นตัวของราคาทองคำในท้องถิ่นดึงดูดนักลงทุนโดยญี่ปุ่นก็มียอดไหลเข้าเป็นบวกเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม การเติบโตที่แข็งแกร่งในเอเชียและอเมริกาเหนือไม่สามารถชดเชยแรงขายอย่างหนักในยุโรปได้ รายงานระบุว่ากองทุนที่จดทะเบียนในยุโรปมีปริมาณการถือครองทองคำลดลงเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกัน โดยในเดือนมีนาคม การถือครองลดลง 22 ตัน คิดเป็นมูลค่า 1.42 พันล้านดอลลาร์

โดยอังกฤษเป็นประเทศที่สูญเสียมากที่สุด แม้ว่าธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) จะออกนโยบายผ่อนคลายในการประชุมเดือนมีนาคม ซึ่งส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลลดลงและค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลง ซึ่งเมื่อดูให้ลึกลงไป แม้จะมีการไหลเข้าปรากฏให้เห็นเป็นระยะ ๆ เมื่อราคาทองคำพุ่งขึ้น แต่การไหลออกก็เกิดขึ้นด้วยเช่นกันเมื่อทองคำหยุดแรงขึ้น ซึ่งน่าจะเกิดจากกิจกรรมการขายเพื่อทำกำไร และเมื่อธนาคารกลางใหญ่ ๆ รวมถึงธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารแห่งชาติสวิส (SNB) เริ่มหรือปรับลดอัตราดอกเบี้ยจริง ความกระตือรือร้นในการเสี่ยงของนักลงทุนก็ดีขึ้น ในขณะที่ความสนใจในทองคำลดลง

แม้ว่าตลาดทองคำจะดึงดูดนักลงทุนชาวอเมริกันเหนือบางส่วน แต่ตลาด ETF ที่มีทองคำเป็นสินทรัพย์อ้างอิงก็ยังคงอยู่ในสถานการณ์ที่ติดขัด เนื่องจากการถือครองทองคำมีมูลค่าลดลง 68.2 ตันในปีนี้ คิดเป็นมูลค่า 4.3 พันล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม การไหลเข้าและออกของ ETF เป็นปัจจัยรองในตลาดทองคำภาพรวม โดยราคาทองคำปิดเดือนมีนาคมที่ระดับสูงขึ้น 8% WGC ระบุว่าตลาดทองคำยังคงได้รับการหนุนหลังโดยอุปสงค์พื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยปัจจัยพื้นฐานที่ค้ำยันแนวโน้มขาขึ้นในปัจจุบันได้แก่ ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น การซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลาง และความต้องการเครื่องประดับและทองคำแท่งและเหรียญที่ยืดหยุ่น

และแม้ราคาทองคำจะยังคงปรับตัวขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยไปทำสถิติสูงสุดใหม่เรื่อย ๆ แต่นักวิเคราะห์ของ WGC ก็ยังคงมองว่าทองคำยังมีศักยภาพสูงขึ้นได้อีกมาก เมื่อพิจารณาจากตัวชี้วัดพวกเขาระบุว่าทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ถูกถือครองน้อยในตลาด

“เมื่อทองคำทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สมมติฐานทั่วไปของคนส่วนใหญ่คือสถานะการซื้อน่าจะค่อนข้างอึดอัด เหมือนกับที่เกิดขึ้นในปี 2011 แต่สถานการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อประเมิน ETF ที่มีทองคำเป็นสินทรัพย์อ้างอิงเป็นร้อยละของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM) ของ ETF ทั้งหมดในสหรัฐฯ พบว่าสัดส่วนของ ETF ทองคำอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นอันดับสี่นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งขึ้น ในทำนองเดียวกัน เราพบว่าปริมาณสัญญาคงค้างในตลาดล่วงหน้ามีแนวโน้มเหมือนกับที่เราเห็นในภาค ETF ปริมาณสัญญาคงค้างของทองคำอยู่ในระดับต่ำกว่าของสินทรัพย์ประเภทหุ้น พันธบัตร และสินค้าโภคภัณฑ์เป็นอย่างมาก”

ราคาทองคำในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ $2,349 โดยในช่วงที่ผ่านมาราคาเคลื่อนไหวแกว่งตัวในกรอบแคบแต่ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเมื่อดูที่ตำแหน่งของราคาเทียบกับเส้นค่าเฉลี่ย EMA ที่สำคัญ จะเห็นว่าราคาทองยังสามารถยืนอยู่เหนือเส้น EMA ทั้ง 3 เส้น คือ EMA 12, EMA 26 และ EMA 200 ซึ่งมีแสดงถึงแนวโน้มขาขึ้นยังคงแข็งแกร่ง

อย่างไรก็ตาม เครื่องมือ RSI และ Stoch RSI เริ่มส่งสัญญาณเตือน โดยเฉพาะ RSI ที่มีแนวโน้มเป็น Bearish Divergence เมื่อเทียบกับราคา ซึ่งบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่ราคาอาจปรับลงมาพักฐานได้

โดยในระยะสั้น 24 ชั่วโมงข้างหน้า ราคาทองคำยังมีโอกาสที่จะเคลื่อนไหวขึ้นต่อ โดยมีแนวต้านสำคัญอยู่ที่ $2,365 หากสามารถผ่านแนวต้านนี้ขึ้นไปได้ น่าจะมีแนวต้านถัดไปที่ $2,380

แต่ในทางกลับกัน ถ้าราคาไม่สามารถยืนเหนือ $2,360 และมีแรงขายออกมา ก็อาจจะมีการย่อตัวลงมาทดสอบแนวรับที่ $2,341 และหากหลุดแนวรับนี้ลงไป ก็มีโอกาสร่วงลงมายัง $2,321

โดยสรุป แม้ว่ากราฟทองคำจะยังมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นในระยะกลาง แต่อาจจะมีการแกว่งตัวสลับขึ้นลงในระยะสั้น โดยต้องจับตาดูแนวต้านและแนวรับดังกล่าวเป็นพิเศษ และหากมีสัญญาณเปลี่ยนแปลงของ RSI และ Stoch RSI ก็ควรระวังความเสี่ยงที่ราคาอาจกลับตัวลงด้วย

กราฟทองคำระดับ 4 ชั่วโมง

แนวรับ ในวันนี้จะอยู่ที่บริเวณ $2,341 - $2,321

แนวต้าน ในวันนี้จะอยู่ที่บริเวณ $2,365 - $2,380