วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 5 พ.ย. 2567
ราคาทองคำวันนี้
กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้
*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣
*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰
*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁
บทความที่คุณอาจจะสนใจด้วย >> |
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้ ประจำวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 ตลาดการเงินโลกจับตาการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอย่างใกล้ชิด ขณะที่ผลโพลล่าสุดชี้ให้เห็นว่า Kamala Harris ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต และ Donald Trump อดีตประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน กำลังมีคะแนนคู่คี่กันอย่างเข้ม Reuters รายงานว่าหลายฝ่ายกังวลว่าสหรัฐฯ อาจเผชิญวิกฤตการณ์การเลือกตั้งซ้ำรอยปี 2020
ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมือง ราคาทองคำทรงตัวที่ระดับ $2,736 โดยในปี 2024 ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 30% และทำสถิติสูงสุดที่ระดับ $2,790 ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวลดลง 8 basis points มาอยู่ที่ 4.30% ขณะที่ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) อ่อนค่าลงกว่า 0.40% มาอยู่ที่ 103.90
นักวิเคราะห์จาก TD Securities ระบุว่าหาก Trump ชนะการเลือกตั้ง ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าและมาตรการกีดกันทางการค้าอาจส่งผลให้เกิดแรงกดดันเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ความตึงเครียดด้านนโยบายต่างประเทศที่อาจเพิ่มขึ้นจะยิ่งเสริมบทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีกำหนดประชุมวันที่ 6-7 พฤศจิกายน โดยคาดว่าจะประกาศลดอัตราดอกเบี้ย 25 basis points สู่ระดับ 4.50%-4.75% หลังตัวเลขเศรษฐกิจเดือนตุลาคมชี้ว่าตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง ลดความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย
ราคาน้ำตาลชี้นำทิศทางทองคำ - นักกลยุทธ์ชี้ความเสี่ยงห่วงโซ่อุปทานอาหารหนุนเงินเฟ้อพุ่ง
ทางด้าน Michele Schneider หัวหน้านักกลยุทธ์จาก Marketgauge ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ที่น่าสนใจระหว่างราคาน้ำตาลและทองคำ การวิเคราะห์ทางเทคนิคล่าสุดแสดงให้เห็นว่าราคาน้ำตาลกำลังอยู่ในรูปแบบ “Bull Flag Pattern” โดยหากทะลุแนวต้านสำคัญได้ ราคามีโอกาสพุ่งแตะ 28 เซนต์ต่อปอนด์
แม้ทองคำและน้ำตาลจะไม่ได้มีความสัมพันธ์โดยตรง แต่ Schneider อธิบายว่าการปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำตาลเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารโดยรวม ซึ่งจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง และกลายเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาทองคำ เนื่องจากนักลงทุนมองหาทองคำเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ
นักกลยุทธ์มองว่าความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และความเสี่ยงด้านการผลิตจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นสองปัจจัยสำคัญที่คุกคามห่วงโซ่อุปทานอาหารโลกในปี 2025 โดยเฉพาะความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ ที่ส่งผลต่อการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงภัยธรรมชาติรุนแรงและสภาพอากาศแปรปรวนที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
นักวิเคราะห์หลายสำนักสนับสนุนมุมมองนี้ โดยชี้ว่าระบบห่วงโซ่อุปทานในปัจจุบันมีความเปราะบางมากขึ้นหลังได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ แม้เพียงการหยุดชะงักเล็กน้อยก็อาจส่งผลกระทบต่อราคาอาหารอย่างมีนัยสำคัญ Schneider เน้นย้ำว่าหากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังคงปรับตัวสูงขึ้น อาจเป็นสัญญาณว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเป็นเพียงการหยุดพักชั่วคราวก่อนปะทุขึ้นอีกครั้ง
ปัญหาหนี้สหรัฐฯ หนุนทองคำพุ่ง - นักลงทุนยักษ์ใหญ่ทยอยถอนตัวจากตลาดพันธบัตร
Schneider ยังชี้ให้เห็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจในตลาดการเงิน โดยทองคำยังคงรักษาระดับราคาสูงไว้ได้ แม้ดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่าและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน โดยตั้งคำถามที่น่าคิดว่า “หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นเพราะเศรษฐกิจดี ทำไมนักลงทุนยังคงซื้อทองคำ? คุณจะเชื่อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หรือทองคำ?”
ปัญหาหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงขึ้นของสหรัฐฯ กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทองคำสะท้อนสภาวะเศรษฐกิจได้แม่นยำกว่าพันธบัตร โดยนักลงทุนระดับตำนานอย่าง Stanley Druckenmiller และ Paul Tudor Jones ได้ออกมาแสดงความกังวลต่อตลาดพันธบัตร ซึ่งจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนปรับตัวสูงขึ้นอีก
นักกลยุทธ์แนะนำให้จับตาดัชนี SPDR S&P Retail ETF (NYSE: XRT) ที่สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคสหรัฐฯ โดยตลอดปีที่ผ่านมา XRT เคลื่อนไหวในกรอบแคบระหว่าง 70-80 ดอลลาร์ หากดัชนีนี้ทะลุ 80 ดอลลาร์ อาจบ่งชี้ว่าผู้บริโภคยังแข็งแกร่ง ซึ่งอาจเป็นจุดสูงสุดของราคาทองคำ แต่หากหลุด 70 ดอลลาร์ อาจส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย
ด้านพฤติกรรมการลงทุน Schneider แนะนำให้จัดสรรพอร์ตการลงทุน 15-20% ในทองคำ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนในตลาด โดยเชื่อว่าหากราคาทองคำปิดแข็งแกร่งเหนือระดับ $2,760 จะมีโอกาสทะลุ $2,800 และมุ่งหน้าสู่ $3,000 ในที่สุด
StoneX เปิดกลยุทธ์รับมือเลือกตั้งสหรัฐฯ - คาดทองพุ่งแตะ 2,800 ดอลลาร์หากผลคะแนนสูสี
Rhona O'Connell หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ตลาดภูมิภาค EMEA และเอเชียของ StoneX เปิดเผยแนวทางรับมือการเลือกตั้งสหรัฐฯ สำหรับนักลงทุนทองคำ โดยระบุว่าหากเกิดการประท้วงผลการเลือกตั้งและไม่สามารถประกาศผู้ชนะได้ในทันที ความไม่แน่นอนในตลาดทองคำจะยืดเยื้อ และราคามีโอกาสทะลุ $2,800 แต่หากมีผู้ชนะชัดเจน ราคาทองคำอาจปรับตัวลงในระยะสั้นก่อนฟื้นตัวขึ้น
ในกรณีที่พรรครีพับลิกันชนะทั้งทำเนียบขาวและรัฐสภา และ Trump ได้กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกสมัย ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในระยะกลาง เนื่องจากนโยบายที่อาจสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อ เช่น การลดภาษีนิติบุคคลและการขึ้นภาษีนำเข้า รวมถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจเพิ่มขึ้น ส่วนกรณีที่พรรคเดโมแครตชนะ ราคาทองคำก็มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นเช่นกัน จากความกังวลเรื่องแรงกดดันเงินเฟ้อที่อาจเกิดจากนโยบาย “เก็บภาษีและใช้จ่าย” แม้ว่านโยบายต่างประเทศอาจมีความประนีประนอมมากกว่า
O'Connell ยังชี้ให้เห็นปัจจัยสนับสนุนราคาทองคำที่สำคัญ ได้แก่ ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ความตึงเครียดทางการค้า ความเปราะบางในระบบธนาคารโดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ (Commercial Real Estate) การเติบโตของภาคธนาคารเงา (Shadow Banking) และการซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางทั่วโลก รวมถึงความสนใจจากนักลงทุนรายใหญ่และสถาบันครอบครัว (Family Office) ที่กลับเข้ามาลงทุนในทองคำเพื่อถือครองระยะยาว
นักวิเคราะห์ชี้ทองคำยังแกร่งแม้เฟดลดดอกเบี้ย - แนะรับมือความผันผวนด้วยการถือครองทองคำ 15-20% ในพอร์ต
Matthew Jones นักวิเคราะห์โลหะมีค่าจาก Solomon Global ให้ความเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญมักสร้างความผันผวนในตลาดการเงิน ซึ่งเป็นปัจจัยผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น “ทองคำไม่ใช่แค่สินค้าโภคภัณฑ์ แต่เป็นการลงคะแนนเสียงทางเศรษฐกิจเพื่อเสถียรภาพในช่วงที่ผลการเลือกตั้งไม่แน่นอนหรือมีข้อโต้แย้ง”
Jones วิเคราะห์ว่าหาก Trump ชนะการเลือกตั้ง นโยบายเศรษฐกิจและการผ่อนคลายกฎระเบียบอาจสร้างความปั่นป่วนในบางภาคธุรกิจ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ขณะที่ความไม่ชัดเจนด้านนโยบายและแรงกดดันเงินเฟ้อ รวมถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ จะยิ่งเพิ่มความน่าสนใจของทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
ส่วนกรณี Kamala Harris นั้น เธอได้นำเสนอวิสัยทัศน์ที่เน้นการใช้จ่ายภาครัฐในโครงการสังคม โครงสร้างพื้นฐาน และการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นโยบายเหล่านี้อาจทำให้การขาดดุลงบประมาณเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าและเกิดความกังวลด้านเงินเฟ้อ ซึ่งจะทำให้นักลงทุนหันมาถือครองทองคำมากขึ้น
ท่ามกลางสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนนี้ นักวิเคราะห์แนะนำให้นักลงทุนพิจารณาถือครองทองคำในสัดส่วน 15-20% ของพอร์ตการลงทุน เพื่อป้องกันความเสี่ยงและรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น
วิเคราะห์กราฟทองวันนี้
ราคาทองคำในกรอบ 4 ชั่วโมงกำลังแสดงสัญญาณอ่อนตัวลงหลังจากที่ไม่สามารถยืนเหนือแนวต้านสำคัญที่ $2,740 ได้ โดยปัจจุบันราคาได้ปรับตัวลงมาเคลื่อนไหวที่ระดับ $2,736 ซึ่งยังอยู่ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ EMA 12 และ EMA 26 สะท้อนถึงแรงกดดันขาลงในระยะสั้น
จากการวิเคราะห์พบว่า ราคามีแนวต้านสำคัญอยู่ที่ $2,740- $2,758 และ $2,775 - $,2790 ตามลำดับ ในขณะที่แนวรับสำคัญอยู่ที่ $2,727, $2,715 และ $2,685.41 ทางด้านค่า RSI ในขณะนี้แสดงถึงการอ่อนตัวหลังเกิด Bearish Divergence กับราคา สะท้อนถึงแรงซื้อที่อ่อนแรงลง
แนวโน้มในอีก 24 ชั่วโมงข้างหน้า คาดว่าราคาจะมีโอกาสปรับตัวลงทดสอบแนวรับแรกที่ $2,727 หากไม่สามารถยืนเหนือระดับนี้ได้ อาจปรับตัวลงต่อไปที่แนวรับถัดไป $2,715 อย่างไรก็ตาม หากราคาสามารถฟื้นตัวขึ้นยืนเหนือ EMA 12 และ EMA 26 ได้อีกครั้ง อาจมีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านที่ $2,758 แต่ด้วยสัญญาณ Divergence ที่ปรากฏ ความเสี่ยงขาลงยังคงมีอยู่ นักลงทุนควรติดตามการเคลื่อนไหวของราคาบริเวณแนวรับสำคัญอย่างใกล้ชิด อีกทั้งน่าจะมีความผันผวนค่อนข้างมากจากการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในวันนี้
แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง
$2,727
$2,715
$2,685
แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง
$2,740
$2,758
$2,775
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน