วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 16 พ.ค. 2567
ราคาทองคำวันนี้
กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้
*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣
*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰
*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁
บทความที่คุณอาจจะสนใจด้วย >> |
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้ ประจำวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 ราคาทองคำทะยานขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 สัปดาห์เมื่อวันที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ลดลง หลังจากมีข้อมูลระบุว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI) ในเดือนเมษายนปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาด ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปลายปีนี้
ดัชนี CPI เพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาด ส่งสัญญาณเงินเฟ้อชะลอตัว
ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดระบุว่า ดัชนี CPI ของสหรัฐฯ ในเดือนเมษายนเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 0.4% และชะลอตัวลงจากระดับ 0.4% ในเดือนมีนาคมและกุมภาพันธ์ ซึ่งบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อได้กลับเข้าสู่แนวโน้มขาลงอีกครั้งในช่วงต้นไตรมาสที่ 2 สอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาดการเงินที่มองว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้
ความหวังที่ Fed จะเริ่มวัฏจักรผ่อนคลายนโยบายการเงินในปีนี้ยังได้รับการหนุนหลังจากรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนเมษายนที่ออกมาทรงตัวอย่างไม่คาดคิด ซึ่งชี้ให้เห็นว่าอุปสงค์ในประเทศเริ่มชะลอตัวลง ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อเจ้าหน้าที่ Fed ที่พยายามบริหารจัดการเพื่อให้เศรษฐกิจมีการ “ลงจอดอย่างนุ่มนวล (Soft landing)”
Christopher Rupkey หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก FWDBONDS กล่าวว่า “ข้อมูลเศรษฐกิจออกมาดีในการสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ถึงแม้ประเทศสหรัฐฯ ยังคงไม่พ้นจากภัยคุกคามด้านเงินเฟ้อ แต่ก็เริ่มเห็นความสว่างที่ปลายอุโมงค์แล้ว”
นอกจากนี้ รายงานภาวะภาคการผลิตในนิวยอร์กโดย New York Fed ก็ยังคงอ่อนแอ แม้ภาวะเงินเฟ้อจะผ่อนคลายลง โดยดัชนี Empire State ร่วงลงสู่ระดับ -15.6 ในเดือนพฤษภาคม จากระดับ -14.3 ในเดือนเมษายน ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ -10 สะท้อนการหดตัวต่อเนื่องของภาคการผลิตในรัฐนิวยอร์ก ยอดคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงานยังคงลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ดัชนีราคาจ่ายและราคารับชะลอตัวลง บ่งชี้ถึงแรงกดดันเงินเฟ้อที่ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าวได้หนุนราคาทองคำให้พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 สัปดาห์ ทั้งนี้ การชะลอตัวของเงินเฟ้อและความอ่อนแอในภาคการผลิต ทำให้นักลงทุนคาดหวังว่า Fed อาจผ่อนคลายนโยบายการเงินที่เข้มงวดและเร่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาทองคำในระยะต่อไป
ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นกระทบเศรษฐกิจ และเป็นประเด็นหาเสียงเลือกตั้งในสหรัฐฯ
Joe Biden ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่าราคาสินค้ายังคงสูงเกินไป แต่โต้แย้งว่าวาระนโยบายของตนที่รวมถึงการสร้างบ้านเรือน 2 ล้านหลัง และการต่อสู้กับ Big Pharma เพื่อลดราคายา “จะช่วยให้ภาคครัวเรือนมีพื้นที่หายใจได้บ้าง” ขณะที่ทีมหาเสียงของ Donald Trump อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวโทษเงินเฟ้อว่ามาจากนโยบายของรัฐบาล Biden และโฆษณาชวนเชื่อ
แนวโน้มเงินเฟ้อชะลอตัวในไตรมาส 2
ในช่วง 12 เดือนจนถึงเมษายน ดัชนี CPI เพิ่มขึ้น 3.4% หลังจากปรับขึ้น 3.5% ในเดือนมีนาคม ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ที่ Reuters สำรวจคาดการณ์ว่า CPI จะปรับขึ้น 0.4% ในรายเดือน และ 3.4% ในรายปี ทั้งนี้ ระดับเงินเฟ้อได้ปรับลดลงจากระดับสูงสุดที่ 9.1% ในเดือนมิถุนายน 2022
นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า แรงกดดันด้านราคาจะคลี่คลายในไตรมาสนี้และเงินเฟ้อจะค่อยๆ ขยับเข้าใกล้เป้าหมาย 2% ของ Fed ตามสภาวะตลาดแรงงานที่เริ่มเย็นลงประธาน Fed อย่าง Jerome Powell กล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า “ผมคาดว่าเงินเฟ้อจะปรับลงในอัตรารายเดือนมากกว่าตัวเลขที่เรามีเมื่อปีที่แล้ว”
ตลาดการเงินมองว่ามีโอกาสราว 73% ที่ Fed จะปรับลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายน เพิ่มขึ้นจาก 69% ก่อนหน้านี้ ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์บางคนคาดว่า Fed จะเริ่มลดดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม
ในช่วงต้นเดือนนี้ Fed ได้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 5.25% - 5.50% ซึ่งอยู่ในระดับนี้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม หลังจากปรับขึ้นมาแล้ว 525 bps นับตั้งแต่มีนาคม 2022
นักลงทุนหันซื้อทองคำ
ด้วยความหวังที่ Fed อาจปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ ส่งผลให้นักลงทุนหันมาถือครองทองคำมากขึ้น เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าสินทรัพย์ปลอดภัยอื่นๆ โดยราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ ทางด้านหุ้นในตลาดวอลสตรีทก็ซื้อขายในแดนบวก ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงิน ขณะที่ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น
ในขณะที่ Fed พยายามสกัดเงินเฟ้อ แต่ก็มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะหดตัวหากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานาน ทำให้หลายฝ่ายจับตาดูว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีการ “ลงจอดอย่างนุ่มนวล” ได้หรือไม่ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและวิกฤตต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ทิศทางนโยบายการเงิน Fed เป็นอย่างไร
นักวิเคราะห์แบ่งแยกสมาชิกคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของ Fed เป็นฝั่ง “Dovish” ที่เน้นความเสี่ยงต่อตลาดแรงงาน และฝั่ง “Hawkish” ที่เน้นภัยคุกคามจากเงินเฟ้อ
สภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนในช่วงการระบาดของโควิด-19 ทำให้ความแตกต่างของสองฝ่ายถูกจำกัด โดยในช่วงแรก เจ้าหน้าที่ Fed ต่างมีมุมมอง Dovish ที่ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ แต่เมื่อเงินเฟ้อพุ่งสูง ทุกคนก็กลายเป็นฝั่ง Hawkish ที่สนับสนุนให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างก้าวร้าว
ปัจจุบันความเสี่ยงดูสมดุลมากขึ้นและทางเลือกมีความซับซ้อนมากขึ้น สมาชิก FOMC ทั้ง 12 คนอภิปรายกำหนดนโยบายทุก 8 ครั้งต่อปี แต่มีเพียง 5 คนที่มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงในแต่ละครั้ง รวมถึงประธาน Fed สาขานิวยอร์ก และอีก 4 คนที่ลงคะแนนเสียงหมุนเวียนทุกปี ขณะที่ผู้ว่าการ Fed 7 คนมีสิทธิ์ลงมติถาวร ในจำนวนนี้รวมประธาน Fed และรองประธานด้วย
จากความเห็นของเจ้าหน้าที่ Fed ชี้ว่ายังมีการโต้เถียงกันถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยและเศรษฐกิจในระยะถัดไป ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการตัดสินใจยังมีความท้าทายและความไม่แน่นอนอยู่มาก แต่โดยรวมแล้วกระแสความคิดเห็นส่วนใหญ่เชื่อว่า Fed จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจถดถอย แม้อาจจะยังต้องคงดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่ออีกระยะหนึ่ง ก่อนจะทยอยลดลงเมื่อเห็นสัญญาณเงินเฟ้อชะลอตัวอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่จะออกมาในระยะต่อไปก็ยังคงมีความสำคัญและอาจเปลี่ยนมุมมองของสมาชิก Fed ได้ ดังนั้น ตลาดจึงต้องจับตาดูนโยบายและคำแถลงการณ์ของ Fed ต่อไป ซึ่งส่งผลกระทบสำคัญต่ออัตราดอกเบี้ย ตลาดหุ้น ค่าเงินดอลลาร์ ราคาทองคำ รวมถึงตลาดสินทรัพย์อื่นๆ อย่างใกล้ชิด
เป็นที่น่าสนใจว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะพลิกฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วงที่เหลือของปีนี้และปีหน้าได้หรือไม่ และ Fed จะสามารถพาเศรษฐกิจให้ “ลงจอดอย่างนุ่มนวล (Soft Landing)” ได้สำเร็จหรือจะเกิดภาวะถดถอยขึ้น ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่หลายฝ่ายกำลังคาดหวังและกังวลอยู่ หากพิจารณาบริบททั้งหมดแล้ว การติดตามทิศทางนโยบายการเงินของ Fed ยังคงมีความน่าสนใจและมีผลกระทบในวงกว้างอย่างมาก รวมถึงทรงผลโดยตรงต่อราคาทองคำในปี 2024 นี้
วิเคราะห์กราฟทองวันนี้
วิเคราะห์กราฟทองคำประจำวัน ราคาทองคำ Gold Spot เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ (XAU/USD) ในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง พบว่าราคาทองคำมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะสั้น โดยปัจจุบันราคาอยู่ที่ระดับ $2,390 ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดใหม่ของการเคลื่อนไหว
เมื่อพิจารณาตำแหน่งของราคาปัจจุบันเทียบกับเส้นค่าเฉลี่ย EMA หลัก พบว่าราคาอยู่เหนือเส้น EMA 12, 26 และ 200 สะท้อนถึงแนวโน้มที่แข็งแกร่งในระยะสั้นและระยะกลาง การที่ราคาสามารถยืนเหนือเส้น EMA 200 ได้ ถือเป็นสัญญาณบวกที่ชี้นำแนวโน้มขาขึ้นในภาพรวม
การวิเคราะห์ RSI พบว่า RSI ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 70 ซึ่งเข้าสู่เขต Overbought บ่งชี้ถึงการซื้อที่มากเกินไปในระยะสั้น อาจมีความเสี่ยงที่ราคาจะปรับฐานลงบ้างเพื่อผ่อนคลายภาวะ Overbought อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ RSI ยังสามารถยืนเหนือระดับ 60 ได้ ก็ยังถือเป็นสัญญาณที่สนับสนุนการขยับขึ้นของราคา ขณะที่การวิเคราะห์ Stoch RSI พบว่าเส้นสัญญาณเพิ่งตัดขึ้นเหนือเส้น 80 สนับสนุนโมเมนตัมเชิงบวกในระยะสั้น
ในการวิเคราะห์ระดับแนวต้าน หากราคาสามารถผ่านแนวต้านสำคัญแรกที่ $2,400 ได้ จะมีโอกาสไต่ระดับขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไปที่ $2,420 และ $2,460 ส่วนระดับแนวรับสำคัญอยู่ที่ $2,360 ซึ่งเป็นระดับ EMA 12 และ 26 หากราคาร่วงหลุดแนวรับนี้ลงมา อาจเป็นสัญญาณของการพักฐานระยะสั้น โดยมีแนวรับถัดไปที่ $2,340
สรุปภาพรวมแนวโน้มทองคำในระยะ 24 ชั่วโมงข้างหน้า คาดว่าราคามีโอกาสขยับขึ้นต่อ โดยมีเป้าหมายที่แนวต้าน $2,400 และ $2,420 อย่างไรก็ตาม ต้องระวังความเสี่ยงของการพักฐานระยะสั้นหากราคาไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่ได้ โดยมีแนวรับสำคัญที่ $2,360 และ $2,340 ซึ่งหากหลุดลงมา อาจเป็นสัญญาณของการปรับฐานลึกมากขึ้น ดังนั้น ควรติดตามระดับราคาดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อวางแผนการลงทุนที่เหมาะสมต่อไป
แนวรับ ในวันนี้จะอยู่ที่บริเวณ $2,360 - $2,340
แนวต้าน ในวันนี้จะอยู่ที่บริเวณ $2,400 - $2,420 / $2,460
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน