วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 6 ก.พ. 2568
![coverImg](https://tw.mitrade.com/cms_uploads/img/20230815/6b4b1b7e39a4e071354bae48bd970774.jpeg)
ราคาทองคำวันนี้
กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้
*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣
*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰
*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁
บทความที่คุณอาจจะสนใจด้วย >> |
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้ ประจำวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 ตลาดทองคำยังคงความร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยราคาทองคำในตลาด Spot Market พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,882 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และมีแนวโน้มที่จะทะลุระดับ 2,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในเร็วๆ นี้ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระลอกใหม่ระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าสำคัญ ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกแห่เข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำมากขึ้น
ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นมาจากการที่ประธานาธิบดี Donald Trump ได้ประกาศใช้มาตรการกีดกันทางการค้าครั้งใหม่กับประเทศคู่ค้าหลัก โดยถึงแม้จะมีการชะลอการเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 25% กับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกออกไป 30 วัน แต่ได้เริ่มบังคับใช้มาตรการเก็บภาษี 10% กับสินค้านำเข้าจากจีนทันที ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวได้จุดชนวนให้เกิดความตึงเครียดทางการค้าระหว่างมหาอำนาจทางเศรษฐกิจครั้งใหม่
สัญญาณผสมจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตลาดแรงงานยังแกร่งแต่ภาคบริการส่อเค้าชะลอตัว
ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดแสดงให้เห็นภาพที่แตกต่างกันในแต่ละภาคส่วน โดยรายงานการจ้างงานภาคเอกชนจาก ADP เผยว่ามีการจ้างงานใหม่ในเดือนมกราคม 2025 จำนวน 183,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 148,000 ตำแหน่ง สะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานโดยรวมยังคงแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม Nela Richardson หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ ADP ได้ชี้ให้เห็นถึงความไม่สมดุลในตลาดแรงงาน โดยการจ้างงานส่วนใหญ่มาจากภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคโดยตรง ในขณะที่การจ้างงานในภาคธุรกิจบริการและการผลิตยังคงอ่อนแอ
ในด้านค่าจ้างแรงงาน รายงานยังระบุว่าอัตราการเติบโตของค่าจ้างยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง โดยผู้ที่ทำงานในตำแหน่งเดิมมีการเติบโตของค่าจ้างเฉลี่ย 4.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะที่ผู้ที่เปลี่ยนงานมีการเติบโตของค่าจ้างสูงถึง 6.8% อย่างไรก็ตาม กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ได้รายงานการลดลงอย่างมีนัยสำคัญของตำแหน่งงานว่าง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการชะลอตัวของแรงขับเคลื่อนในตลาดแรงงาน
ในขณะเดียวกัน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการ (Services PMI) จากสถาบัน Institute for Supply Management (ISM) ในเดือนมกราคมปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 52.8 จากระดับ 54.0 ในเดือนธันวาคม และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 54.2 แม้ว่าตัวเลขที่สูงกว่า 50 จะยังบ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคบริการ แต่อัตราการเติบโตที่ชะลอลงก็สร้างความกังวลเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า โดยองค์ประกอบย่อยของดัชนีแสดงให้เห็นการชะลอตัวในหลายด้าน ทั้งดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ที่ลดลงมาอยู่ที่ 51.3 จาก 54.2 ในเดือนธันวาคม และดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจที่ลดลงมาอยู่ที่ 54.5 จาก 58.2
อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณที่น่าพอใจในด้านเงินเฟ้อ โดยดัชนีราคาในภาคบริการปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 60.4 ในเดือนมกราคม จาก 64.4 ในเดือนธันวาคม แสดงให้เห็นว่าแรงกดดันด้านราคาในภาคบริการเริ่มผ่อนคลายลง นอกจากนี้ ดัชนีการจ้างงานในภาคบริการยังปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 52.3 จาก 51.3 ในเดือนก่อนหน้า สะท้อนว่าตลาดแรงงานในภาคบริการยังคงขยายตัวแม้จะเป็นในอัตราที่ชะลอลง
นักวิเคราะห์เตือน ระวังความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจชะงักพร้อมเงินเฟ้อ
Kelvin Wong นักวิเคราะห์อาวุโสจาก OANDA ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า การที่ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้นมีสาเหตุหลักมาจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจชะงักพร้อมเงินเฟ้อ (Stagflation) โดยปัจจัยสำคัญมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับความเสี่ยงจากสงครามการค้าที่อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและกระตุ้นแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ
สงครามการค้ารอบใหม่นี้มีความแตกต่างจากสงครามการค้าครั้งแรกในปี 2018 อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากครอบคลุมประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ หลายประเทศ นอกเหนือจากความขัดแย้งด้านเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิมกับจีน โดยประเทศที่มีความเสี่ยงจะถูกสหรัฐฯ กำหนดมาตรการทางการค้าเพิ่มเติมได้แก่ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และประเทศในกลุ่มอาเซียนที่พึ่งพาการส่งออก เช่น เวียดนามและมาเลเซีย โดยเฉพาะประเทศที่มียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ
หากการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และประเทศเป้าหมายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ อาจนำไปสู่การตอบโต้ทางการค้าที่รุนแรงขึ้นเป็นลูกโซ่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการค้าโลกและห่วงโซ่อุปทาน กระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และในขณะเดียวกันก็กระตุ้นแรงกดดันด้านเงินเฟ้อผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นและการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน
สัญญาณความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อเริ่มปรากฏให้เห็นในตลาดการเงินแล้ว โดยอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ 5 ปี และ 10 ปี (US breakeven inflation rates) ได้ทะลุกรอบการเคลื่อนไหวในรอบสองปีขึ้นไปอยู่ที่ 2.59% และ 2.44% ตามลำดับ ณ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2025 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อระยะยาวของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ 2% สะท้อนว่าตลาดเริ่มคาดการณ์ถึงแรงกดดันเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
ชี้โอกาสทองคำทะลุ 3,000 ดอลลาร์
ในด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิค Kelvin Wong มองว่าแนวโน้มราคาทองคำในระยะกลางถึงระยะยาวยังคงเป็นขาขึ้น แม้ว่าดัชนี RSI จะอยู่ในเขต Overbought แต่ยังไม่แสดงสัญญาณ Bearish Divergence ซึ่งหมายความว่าราคาทองคำอาจมีการพักตัวในระยะสั้นหลังจากการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในสัปดาห์ที่ผ่านมา มากกว่าที่จะเกิดการกลับตัวลงในระยะกลาง
Wong ระบุว่าแนวรับสำคัญในระยะกลางอยู่ที่ 2,716 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับเดียวกับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน โดยมีแนวต้านระยะกลางที่ 2,933 และ 3,033 - 3,084 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ อย่างไรก็ตาม หากราคาหลุดแนวรับที่ 2,716 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ อาจเป็นสัญญาณให้เกิดการปรับฐานในระยะกลางภายใต้แนวโน้มขาขึ้นหลัก โดยมีแนวรับถัดไปที่ 2,537 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับเดียวกับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน
สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลกที่มีความซับซ้อนมากขึ้นในปี 2025 ส่งผลให้นักลงทุนต้องติดตามปัจจัยต่างๆ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความคืบหน้าของสงครามการค้า นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการเปลี่ยนแปลงของดุลอำนาจในเวทีโลก ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของราคาทองคำและสินทรัพย์อื่นๆ ในระยะต่อไป
ในท้ายที่สุด การที่ราคาทองคำสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ได้อย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของนักลงทุนต่อความไม่แน่นอนในหลายด้าน ทั้งความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ และการเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลกใหม่ ซึ่งเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลให้ราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มแข็งแกร่งต่อไปในระยะกลางถึงระยะยาว แม้ว่าอาจมีการพักตัวในระยะสั้นบ้างตามการเคลื่อนไหวของตลาด
![mitrade](https://resource.mistorebox.com/operation/seo-admin-pubilc/templates/assets/ad-th/mitrade.png)
วิเคราะห์กราฟทองวันนี้
ราคาทองคำยังคงแสดงสัญญาณแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งมาก โดยราคาปัจจุบันที่ 2,869 ดอลลาร์ได้ทะลุผ่านแนวต้านสำคัญที่ 2,850 และ 2,860 ดอลลาร์ขึ้นมาได้สำเร็จ
การเคลื่อนไหวของราคาในช่วงนี้ยังคงอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ทั้งสามเส้นอย่างชัดเจน โดยเส้น EMA ทั้งสามยังคงเรียงตัวในลักษณะขาขึ้น ซึ่งเป็นการยืนยันแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ ความชันของเส้น EMA ที่เพิ่มขึ้นยังบ่งชี้ถึงโมเมนตัมเชิงบวกที่เร่งตัวขึ้น
ในส่วนของดัชนี RSI พบว่ายังคงเคลื่อนไหวในโซน Overbought เหนือระดับ 70 แต่ยังไม่พบสัญญาณ Bearish Divergence ที่ชัดเจน ขณะที่ Stochastic RSI แสดงการแกว่งตัวในโซนบนและเริ่มมีสัญญาณไขว้ลง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนให้ระวังการปรับฐานระยะสั้น
แนวรับสำคัญใหม่จะอยู่ที่บริเวณ 2,860 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นแนวต้านเดิมที่ถูกทะลุผ่าน ถัดลงมาที่ 2,850 ดอลลาร์ และ 2,827 ดอลลาร์
สำหรับแนวต้านถัดไป มองไว้ที่ระดับจิตวิทยา 2,880 ดอลลาร์ 2,890 ดอลลาร์ และ 2,900 ดอลลาร์ตามลำดับ โดยเฉพาะระดับ 2,900 ดอลลาร์ถือเป็นแนวต้านสำคัญทางจิตวิทยาที่อาจทำให้เกิดแรงเทขายทำกำไรออกมา
คาดการณ์ว่าใน 24 ชั่วโมงข้างหน้า ราคาทองคำมีโอกาสแกว่งตัวขึ้นทดสอบแนวต้าน 2,880-2,900 ดอลลาร์ แต่อาจเผชิญแรงเทขายทำกำไรเนื่องจากราคาอยู่ในภาวะ Overbought มานาน นักลงทุนควรติดตามสัญญาณการกลับตัวของ RSI และ Stochastic RSI อย่างใกล้ชิด รวมถึงระวังการเกิด Evening Star หรือรูปแบบแท่งเทียนที่บ่งชี้การกลับตัวที่อาจเกิดขึ้นเมื่อราคาทดสอบแนวต้านสำคัญ
แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง
$2,860
$2,850
$2,827
แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง
$2,880
$2,890
$2,900
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน