วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 25 มี.ค. 2568

ราคาทองคำวันนี้
กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้
*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣
*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰
*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁
บทความที่คุณอาจจะสนใจด้วย >> |
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้ ประจำวันที่ 25 มีนาคม 2568 ราคาทองคำ XAU/USD ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน หลังมีข่าวดีเกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่จะมุ่งเป้าไปที่บางประเทศคู่ค้าเท่านั้น ทำให้ความกังวลเรื่องสงครามการค้าลดลง แม้ว่าปีนี้ราคาทองจะปรับตัวขึ้นมากกว่า 13% แล้ว แต่แรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้น และความแข็งแกร่งของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ได้กดดันการปรับตัวขึ้นของทองคำในช่วงนี้
ด้านตลาดหุ้นวอลล์สตรีทกลับมามีบรรยากาศเชิงบวกอีกครั้ง โดยได้รับแรงหนุนจากข่าวที่รัฐบาล Donald Trump เตรียมประกาศมาตรการภาษีนำเข้าแบบตอบโต้ในวันที่ 2 เมษายนนี้ Bloomberg รายงานว่ามาตรการดังกล่าวจะเน้นไปที่กลุ่มประเทศที่เรียกว่า “Dirty 15” ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศคู่ค้าที่สหรัฐฯ มีปัญหาขาดดุลการค้าอย่างรุนแรง แทนที่จะใช้มาตรการกับทุกประเทศทั่วโลก
ข้อมูลจาก The Wall Street Journal ชี้ว่าสหรัฐฯ มีการขาดดุลการค้าสินค้ามากที่สุดกับจีน สหภาพยุโรป เม็กซิโก เวียดนาม ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ แคนาดา อินเดีย ไทย สวิตเซอร์แลนด์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย กัมพูชา และแอฟริกาใต้
เศรษฐกิจสหรัฐส่งสัญญาณผสม ภาคบริการแข็งแกร่ง-ภาคผลิตถดถอย
S&P Global เปิดเผยว่าดัชนี PMI ภาคบริการในเดือนมีนาคมปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 54.3 จาก 51.0 ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 51.2 และถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของภาคบริการที่ยังคงฟื้นตัวได้ดี
การเติบโตของภาคบริการเป็นสัญญาณบวกสำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ เนื่องจากภาคบริการมีสัดส่วนที่สำคัญในระบบเศรษฐกิจ การฟื้นตัวนี้อาจเป็นผลมาจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคระบาดและการกลับมาใช้ชีวิตตามปกติของประชาชน แต่ยังคงต้องติดตามว่าการเติบโตนี้จะยั่งยืนหรือไม่ในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ภาคการผลิตกลับสวนทางอย่างสิ้นเชิง โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตลดลงเหลือ 49.8 จาก 52.7 ในเดือนก่อนหน้า ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 51.9 ถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน การลดลงนี้สะท้อนถึงความอ่อนแอในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากผลกระทบของมาตรการภาษีนำเข้าที่ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น
ความแตกต่างระหว่างภาคบริการและภาคการผลิตนี้อาจสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่กำลังเกิดขึ้น โดยภาคบริการมีแนวโน้มที่จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในอนาคต ในขณะที่ภาคการผลิตอาจต้องเผชิญกับความท้าทายจากการแข่งขันระหว่างประเทศและนโยบายการค้าที่เข้มงวดมากขึ้น
แม้เศรษฐกิจโดยรวมยังดูแข็งแกร่ง แต่รายงานระบุว่าความเชื่อมั่นเกี่ยวกับอนาคตของเศรษฐกิจเริ่มลดลงต่อเนื่อง นอกจากนี้ แรงกดดันด้านราคายังคงเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อยังคงอยู่ Chris Williamson หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก S&P Global Market Intelligence ชี้ว่าแม้ภาคบริการจะฟื้นตัว แต่ภาพรวมเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะภาคการผลิตที่กลับเข้าสู่ภาวะถดถอยหลังจากเร่งผลิตสินค้าในช่วงต้นปีเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาษีนำเข้า
Williamson ยังเตือนว่ามาตรการภาษีนำเข้าของ Donald Trump อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและสร้างแรงกดดันให้กับเงินเฟ้อ เนื่องจากต้นทุนสินค้าสูงขึ้นและบริษัทผู้ผลิตเริ่มผลักภาระต้นทุนไปยังผู้บริโภค ทำให้ต้นทุนของบริษัทในสหรัฐฯ พุ่งสูงสุดในรอบเกือบสองปี สถานการณ์นี้อาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในระยะยาว ซึ่งจะเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
ประธานเฟดแอตแลนตายันลดดอกเบี้ยแค่ครั้งเดียวในปีนี้
Raphael Bostic ประธานธนาคารกลางแห่งแอตแลนตา แสดงจุดยืนชัดเจนว่าเขาสนับสนุนให้มีการลดอัตราดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวในปีนี้ แม้ว่าตลาดจะคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยถึง 62.5 เบสิสพอยต์ในปี 2025 ก็ตาม
Bostic ระบุว่าเงินเฟ้อจะยังไม่กลับเข้าสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้จนถึงปี 2027 และเตือนว่าเส้นทางของเงินเฟ้อจะยังคงผันผวน
ความเห็นของ Bostic สะท้อนถึงความระมัดระวังของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการดำเนินนโยบายการเงิน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง การลดดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวอาจเป็นการส่งสัญญาณว่า Fed ต้องการรักษาสมดุลระหว่างการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและการควบคุมเงินเฟ้อ
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เพิ่งประกาศคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งล่าสุด พร้อมปรับลดประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจและเพิ่มประมาณการเงินเฟ้อ โดย Fed คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตเพียง 1.7% ในปีนี้ ขณะที่เงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.7% จากเดิมที่เคยคาดไว้ที่ 2.1% และ 2.5% ตามลำดับ การคงอัตราดอกเบี้ยและแนวโน้มดังกล่าวสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินดอลลาร์และตลาดทองคำในระยะสั้น
กูรูทองคำมั่นใจ ราคายังแข็ง แม้ตลาดเผชิญความไม่แน่นอน
George Milling-Stanley หัวหน้ากลยุทธ์ทองคำของ State Street Global Advisors ยังคงเชื่อมั่นว่าราคาทองคำจะสามารถรักษาระดับแข็งแกร่งได้ แม้ค่าเงินดอลลาร์จะฟื้นตัว โดยเขาชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยของ Fed ที่อยู่ในระดับ “กลาง” จะไม่ส่งผลกระทบมากนักต่อราคาทองคำ
Milling-Stanley เน้นว่าความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าของ Donald Trump จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนราคาทองคำ เขาอธิบายว่าทองคำมักเติบโตได้ดีในช่วงเวลาที่ตลาดเผชิญกับความไม่แน่นอนและความสับสน
แม้ว่าราคาทองคำจะลดลงจากระดับสูงสุดตลอดกาลเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่ Milling-Stanley มองว่าการพักฐานครั้งนี้เป็นสิ่งจำเป็นและดีต่อตลาด เขาเชื่อว่าราคาทองคำอาจซื้อขายอยู่ในกรอบ $3,000 เป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ทีมวิจัยของ Milling-Stanley ยังคงยืนยันประมาณการณ์ราคาทองคำสำหรับปี 2025 โดยมองว่ามีโอกาส 50% ที่ราคาจะอยู่ระหว่าง $2,600 ถึง $2,900 ต่อออนซ์ และโอกาสอีก 30% ที่ราคาจะอยู่ระหว่าง $2,900 ถึง $3,100 ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตาม เขาเปิดเผยว่าอาจมีการปรับประมาณการณ์เพิ่มขึ้น หากราคายังคงแสดงแนวโน้มเชิงบวกต่อเนื่อง
Milling-Stanley ยังชี้ให้เห็นว่าความแข็งแกร่งของราคาทองคำในปีนี้เกิดจากนักลงทุนที่เริ่มหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนผ่านกองทุน ETF ทองคำ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระจายความเสี่ยงจากตลาดหุ้นที่ผันผวนและเศรษฐกิจโลกที่ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
วิเคราะห์กราฟทองวันนี้
ราคาทองคำได้ปรับตัวลงมาอยู่ที่ $3,013 สะท้อนให้เห็นถึงแรงขายที่ยังคงมีอยู่ในตลาด โดยราคาได้ทดสอบแนวรับที่ $3,004 และสามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้แสดงให้เห็นถึงแรงซื้อที่ยังคงเข้ามาหนุนที่แนวรับดังกล่าว การที่ราคาสามารถรักษาระดับเหนือ $3,004 ไว้ได้ถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับแนวโน้มในระยะกลาง
โครงสร้างทางเทคนิคยังคงเป็นบวกในภาพใหญ่แม้จะมีการพักฐานระยะสั้น โดยราคายังคงเคลื่อนไหวเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ EMA 12 และ EMA 26 ที่มีลักษณะเรียงตัวในทิศทางขาขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณของแนวโน้มหลักที่ยังคงแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม สังเกตได้ว่าช่องว่างระหว่างเส้น EMA ทั้งสองกำลังแคบลง บ่งชี้ถึงโมเมนตัมขาขึ้นที่ชะลอตัวลงในระยะสั้น
ดัชนี RSI ได้ปรับตัวลงมาอยู่ที่ประมาณ 45-50 แสดงถึงแรงเทขายที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่ถึงระดับ Oversold
ส่วน Stochastic RSI มีการโค้งตัวขึ้นจากระดับต่ำและเริ่มตัดกันขึ้น ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการฟื้นตัวในระยะสั้น ลักษณะการตัดกันขึ้นของเส้น Stochastic RSI นี้ สอดคล้องกับการฟื้นตัวของราคาจากแนวรับ $3,004 ที่เพิ่งทดสอบไป
แนวรับสำคัญในขณะนี้อยู่ที่ $3,004 ซึ่งตรงกับระดับ Fibonacci 127.2% และมีแนวรับถัดไปที่ $2,977 (ระดับ 100%) หากราคาไม่สามารถยืนเหนือ $3,004 ได้ อาจนำไปสู่การปรับฐานลึกขึ้นไปทดสอบแนวรับถัดไป
ในทางกลับกัน แนวต้านสำคัญอยู่ที่ $3,019 และ $3,037 ซึ่งเคยเป็นแนวรับมาก่อนแต่ตอนนี้กลายเป็นแนวต้าน หากราคาสามารถผ่านแนวต้านเหล่านี้ไปได้ จะมีเป้าหมายถัดไปที่ $3,058 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดตลอดกาล
สำหรับแนวโน้มใน 24 ชั่วโมงข้างหน้า คาดว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวในกรอบ $3,004 - $3,037 โดยมีโอกาสที่จะทดสอบแนวต้านที่ $3,019 ในระยะสั้น หากมีแรงซื้อเข้ามาหนุนและราคาสามารถยืนเหนือ $3,019 ได้อย่างมั่นคง อาจมีโอกาสขยับขึ้นไปทดสอบแนวต้านถัดไปที่ $3,037
แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง
$3,004
$2,977
$2,956
แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง
$3,019
$3,037
$3,058
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน